เหตุผลที่ควรฝึกสติเพื่อบำบัดโรคหรือปรับร่างกายเข้าสู่ภาวะสมดุล

เหตุผลที่ควรฝึกสติเพื่อบำบัดโรคหรือปรับร่างกายเข้าสู่ภาวะสมดุล

การฝึกสติ คือ การทำอะไรแล้วรู้ตัวหรือไม่ฟุ้งซ่านเตลิดไป หากเปรียบเทียบกับการทำสมาธิ สติเสมือนการจับตะปูมาจ่อ ส่วนสมาธิเสมือนกับตอกตะปูให้ลึกเข้าไป หมายความว่า เป็นกระบวนการย้อนอดีตว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นย้อนกลับมาปัจจุบันเพื่อที่จะตรวจว่าความรู้สึกและสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง เช่น เจ็บ ปวด หิว เป็นต้น ซึ่งคนที่ฝึกสติมาก ๆ จะรู้ตัวตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ เราจึงมาบอกเหตุผลพร้อมวิธีการฝึกสติบำบัดโรคให้คุณได้รับรู้ ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์กับผู้ฝึกแน่นอน

เปลี่ยนโครงสร้างการทำงานของสมอง

การฝึกสติบำบัดโรคได้รับการศึกษาวิจัยพบว่า สามารถปรับคลื่นสมองให้เป็นปกติได้ นอกจากนี้ยังรักษาโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวลและโรคบาดแผลทางใจที่รับผลกระทบจนถึงปัจจุบัน และเมื่อมีการใช้ยาควบคู่กับสติบำบัด ก็สามารถที่จะรักษาอาการและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำได้สูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงแนวโน้มในระยะยาว จะทำให้สามารถหยุดยาต่าง ๆ ได้อีกด้วย

นอกจากนี้ การฝึกสติ ไม่ว่าจะเป็นแบบเถรวาท ทิเบต ญี่ปุ่น หรือแบบต่าง ๆ ส่งผลให้เรียนดี จนทำให้รอบมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดมีศูนย์สอนการฝึกสติหลายสิบแห่งล้อมรอบ ทำให้อาจารย์และนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ที่เก่งอยู่แล้ว ก็ชอบมาฝึกมาก โดยที่ผู้สอนฝึกไม่ใช่มีแต่ทางตะวันออกเท่านั้นเพราะมีชาวอเมริกาไปฝึกแล้วมาสอนต่อนั่นเอง

รักษาโรคทางกาย

วงการแพทย์ได้พิสูจน์ว่าการฝึกสติช่วยรักษาได้สารพัดโรค เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ เป็นต้น หากได้ฝึกสติก็จะทำให้ระดับน้ำตาลและความดันโลหิตลดลง ชีพจรเป็นจังหวะมากขึ้น ระบบฮอร์โมนหลั่งอย่างพอดี บำบัดอาการนอนไม่หลับโดยไม่ต้องพึ่งยา นอกจากนี้ การฝึกสติยังเหมาะสมกับคนที่ดูแลผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีการฝึกสติเพื่อบำบัดโรคหรือปรับร่างกายเข้าสู่ภาวะสมดุล

ฝึกสติด้วยการหายใจ (breathing) เริ่มต้นด้วยการหายใจเข้าช้า ๆ ขณะที่กำลังหายใจเข้าให้รู้ตัว จากนั้นให้หายใจออกอย่างผ่อนคลาย บางคนอาจจะฝึกสติด้วยการหายใจจากการนั่งสมาธิ (breathing meditation) วันละ 50 นาที นอกจากนี้หากได้นั่งสมาธินาน ๆ แบบไม่ยอมเปลี่ยนท่ายังเป็นการฝึกรับรู้ความเจ็บปวดโดยการเอาจิตไปเพ่งที่ความเจ็บปวดจนกระทั่งความทุรนทุรายหายไป ถือว่าสามารถแยกกายกับใจได้ดี

การดูท่าทางของตัวเอง (posture) ในปัจจุบัน เช่น ตอนนี้กำลังนั่ง กำลังยืน กำลังเดิน กำลังนอน รวมถึงการรับรู้จากตาว่าได้เห็นอะไร หู ได้ยินอะไร จมูก ได้กลิ่นอะไร ลิ้น ได้รับรู้รสอะไร ผิวหนัง สัมผัสอะไร และใจ รู้สึกอะไร โดยไม่มีความคิดปรุงแต่ง ซึ่งเป็นการมีแค่สติเท่านั้น

เคลื่อนไหว (mindful movement) ด้วยการหายใจเข้าออกอย่างช้า ๆ อย่างมีสติพร้อมกับการเคลื่อนไหวร่างกาย อาจจะทำโยคะ ไทเก็ก หรือ ชี่กง ก็ได้ กรณีที่มีการฝึกเก่งแล้ว สามารถไปต่อยอดการเคลื่อนไหวอย่างอื่น เช่น การเดิน การวิ่ง ว่ายน้ำ เป็นต้น

การแผ่เมตตา (Sharing Loving Kindness) คือ การฝึกสติอย่างหนึ่งที่แผ่ไปยังผู้อื่นเพื่อให้เขาได้รับความสุขเช่นเดียวกับคนที่ฝึกสติด้วยการแผ่เมตตา

เหตุผลการฝึกสติบำบัดโรคที่เราได้กล่าวไว้ข้างต้น ทำให้กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุขของไทยได้ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง และมีการพัฒนาเป็นหลักสูตรเพื่อให้คนได้มาอบรมที่มีเกณฑ์วัดผลและรับใบรับรองประกาศนียบัตร จะได้ทำหน้าที่ไปฝึกสติบำบัดต่อ ปรากฏว่าคนที่มาอบรมไม่ใช่มีเฉพาะคนไทยเท่านั้น เนื่องจากมีชาวไต้หวัน ศรีลังกา พม่า แคนาดา ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ประเทศต่าง ๆ ในยุโรป อเมริกา และ ญี่ปุ่น

ดังนั้น ควรฝึกสติอยู่เสมอ เพื่อให้ร่างกายเกิดภาวะสมดุลทั้งร่างกายและจิตใจ ส่งผลดีทุกด้าน จะทำการงานหรือเรียนหนังสือ ขับรถยนต์หรือเล่นกีฬา และกิจวัตรอื่น ๆ ล้วนได้ประโยชน์อย่างมาก

วิธีดูแลตัวเองแบบง่ายๆ ที่ทำให้ชีวิตคุณดีขึ้นได้แบบก้าวกระโดด

วิธีดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีตลอดเวลา

เราทุกคนล้วนอยากให้ชีวิตของตัวเองมีความก้าวหน้าและประสบความสำเร็จด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งการที่จะพาตัวเองให้เดินไปถึงเป้าหมายที่แต่ละคนเรียกว่าสำเร็จนั้นเราต้องอาศัยปัจจัยหลาย ๆ ด้าน และหนึ่งในปัจจัยหลักนั้น ก็คือตัวเราเองที่เป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จที่ตั้งไว้ เรามาดูวิธีการดูแลตัวเองแบบง่าย ๆ ที่จะช่วยให้เรามีชีวิตที่เดินอยู่บนเส้นทางของความสำเร็จ และช่วยทำชีวิตให้ดีขึ้นได้แบบก้าวกระโดดกัน

สำรวจตัวเองและทำความรู้จักตัวเองให้มากพอ

ฟังดูอาจจะรู้สึกแปลก ๆ ตัวเราก็ต้องรู้จักตัวเราเองได้มากที่สุดแล้วสิ ใช่ ! ความจริงเราควรจะเป็นแบบนั้น แต่ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่างในสังคมปัจจุบัน ทำให้เราเอาใจไปอยู่กับสิ่งอื่นที่น่าสนใจภายนอกมากกว่าใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ตื่นขึ้นมาอย่างแรกที่เราจะทำคือ การจับโทรศัพท์มือถือเพื่อเล่นโซเชียล เรียกได้ว่าใน 1 วันเรามีเวลาทบทวนและอยู่กับตัวเองไม่ถึง 30 นาทีด้วยซ้ำไป เราคอยแต่จะเติมตัวเองให้เต็มจากสิ่งของนอกกายแต่ละเลยความรู้สึกนึกคิดภายใน ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะวางโทรศัพท์มือถือลง แล้วลองอยู่กับตัวเองเงียบ ๆ แล้วทบทวนชีวิตที่ผ่านมา ทบทวนเป้าหมายชีวิตหรือความฝัน และสำรวจความคิดและพฤติกรรมที่เราเป็น เพื่อให้รู้เท่าทันความคิดตัวเอง เมื่อเรารู้จักตัวเองดีแล้ว ความคิดเราจะเป็นหางเสือกำหนดทิศทางชีวิตให้เราเดินไปในทางที่เราต้องการได้

ดูแลสุขภาพร่างกายตัวเองให้แข็งแรง

ฟังดูก็เป็นเรื่องปกติ ง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็รู้ ใช่…การดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองให้แข็งแรงเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ แต่ส่วนใหญ่ละเลย ใช้ชีวิตตามอารมณ์ในแต่ละวัน นอนดึก ไม่ออกกำลังกาย เที่ยวสนุกสนาน ทานอาหารและเครื่องดื่มที่บั่นทอนสุขภาพตัวเอง เรื่องเล็กน้อยที่มีผลกับสุขภาพของเราในระยะยาว หลายคนมั่นใจว่าตัวเองแข็งแรง ยังหนุ่มยังสาว บางคนกว่าจะรู้ตัวก็ป่วยหนักจนยากจะเยียวยารักษาได้แล้ว อย่าลืมว่าร่างกายคนเรานั้น เป็นหัวใจสำคัญที่จะพาเราเดินไปสู่ความสำเร็จ ต่อให้ใจสู้แค่ไหนถ้าร่างกายไม่แข็งแรง มีโรครุมเร้า ฝันทุกอย่างก็สลาย ไปไม่ถึงเป้าหมายอยู่ดี อย่ามัวแต่นั่งเชียร์บอลจนดึกดื่นหรือรุ่งเช้า สมัยนี้เข้ามีหน้าเว็บเช็คผลบอลเมื่อคืนให้ดูย้อนหลังกันเยอะแล้ว บางทีน่าจะเป็นคำตอบที่ดีกว่า รู้ผลเหมือนกันแถมไม่เสียสุขภาพด้วย

หาความรู้เพิ่มเติม และพาตัวเองออกไปรับประสบการณ์ใหม่ ๆ ตลอดเวลา

การอยู่กับสังคมเดิม ๆ อ่านหนังสือเล่มเดิม เราจะไม่มีทางรู้เลยว่าสังคมอื่นเป็นอย่างไร หนังสือเล่มอื่นสนุกและเต็มไปด้วยความน่าสนใจ น่าตื่นเต้นมากขนาดไหน หากเราไม่อยากเกิดมาแล้วแก่ตายไปกับชีวิตที่น่าเบื่อหน่าย สิ่งที่คุณต้องทำคือการพาตัวเองออกไปสู่โลกกว้าง ไปเรียนรู้สิ่งใหม่ที่เรายังไม่เคยรู้ ในทุกประสบการณ์ของชีวิตจะผลักดันตัวเราเองให้ขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงกว่าเดิม อยู่ที่เราเลือกว่าจะกล้าเดินออกไปเผชิญกับมันไหม

การที่จะมีชีวิตที่ดีนั้น นอกจากตัวเราเองจะต้องเป็นคนที่ดีพร้อมด้วยสุขภาพ ความคิดและทัศนคติที่ดีแล้ว เรายังต้องเอาตัวเองไปอยู่ในสังคมที่ดีและสิ่งแวดล้อมที่ดีด้วย เพราะสิ่งเหล่านี้จะพาให้เราไปสู่ชีวิตที่ดีและประสบความสำเร็จแบบก้าวกระโดดนั่นเอง

เคล็ดลับรักษาจิตใจในวันที่ความรักไปต่อไม่ได้แล้ว

เคล็ดลับรักษาจิตใจในวันที่ความรักไปต่อไม่ได้แล้ว

คุณคงได้ยินมาแล้วกับสุภาษิตไทยที่ว่า “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” ที่เป็นเช่นนี้เพราะคนส่วนใหญ่เมื่อมีการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความรัก ก็มักจะคาดหวังว่าจะอยู่ยืนยาวไปจนชั่วชีวิต แน่นอนบางคู่ก็ทำได้และบางคู่ก็ทำไม่ได้ จึงจำเป็นต้องเลิกรากันไปแล้วจบลงด้วยความเจ็บปวด ด้วยเหตุนี้ เราจึงมีวิธีการบอกเลิก พร้อมเคล็ดลับรักษาจิตใจสำหรับฝ่ายถูกบอกเลิกในวันที่ความรักไปต่อไม่ได้แล้ว ซึ่งมีอะไรบ้าง มาดูกัน

วิธีบอกเลิกอย่างถนอมน้ำใจสำหรับฝ่ายบอกเลิก

หลีกเลี่ยงการใช้โซเชียลมีเดีย

การบอกเลิกด้วยการใช้โซเชียลมีเดีย จะไม่สามารถรับรู้อารมณ์ของอีกฝ่ายหนึ่งได้เลยว่ารู้สึกอย่างไร บางทีอาจจะนำไปสู่ความแค้น อาฆาตพยาบาทได้ ทางที่ดีควรบอกเลิกแบบตัวต่อตัวอย่างเข้าใจจะดีกว่า

ตกลงกันทั้งสองฝ่าย

การบอกเลิกราเป็นการตัดสินใจหรือตกลงร่วมกันทั้งสองฝ่ายแบบไม่คาดคั้นซึ่งกันและกัน เริ่มต้นอาจจะบอกเกริ่น ๆ ว่า เราจะเลิกกันดีไหม อย่าไปบังคับอีกฝ่ายหนึ่งตัดสินใจแบบทันทีทันใด เพราะอาจจะไปกระตุ้นให้เขามีอารมณ์โกรธหรือเกิดอารมณ์เศร้าได้

ไม่โยนความผิดให้อีกฝ่ายหนึ่ง

หากความรักไปต่อไม่ได้ อย่าไปโยนความผิดอีกฝ่ายหนึ่งแต่ควรมีการพูดโดยใช้ถ้อยคำที่สุภาพอย่างมีเหตุผล จริงใจหรือตรงไปตรงมาและถนอมน้ำใจอีกฝ่ายหนึ่ง อาจจะพูดคุยให้เป็นกลางว่า เราเข้ากันไม่ได้ ทำให้ไปต่อไม่ได้ หรือเป็นเพื่อนกันดีกว่าแทนที่จะคบแบบคนรักกันต่อไป

ก่อนเริ่มต้นใหม่ให้เวลาอีกฝ่ายทำใจ

การถนอมน้ำใจอีกฝ่ายเป็นสิ่งสำคัญ ถึงแม้ว่าความรักไปต่อไม่ได้แล้วก็ตาม เพราะฉะนั้น ไม่ควรหาหรือเปิดตัวแฟนใหม่ในทันที เพื่อให้อีกฝ่ายก้าวข้ามความรู้สึกเศร้าไปได้ก่อนจะดีกว่า ป้องกันอีกฝ่ายเสียใจหนักกว่าเดิมหรือน้อยใจจนคิดสั้นฆ่าตัวตายได้

เคล็ดลับรักษาใจสำหรับฝ่ายที่ถูกบอกเลิก

ยอมรับว่าความรักไปต่อไม่ได้

การทำใจยอมรับว่าได้เกิดขึ้นไปแล้ว จะกลับไปแก้ไขให้เป็นเหมือนเดิมก็จะไม่ได้ จากนั้นให้มองโลกในแง่ดีด้วยการบอกกับตัวเองว่า การเลิกกันทำให้เปิดโอกาสได้เจอคนใหม่ที่ดีและเหมาะสมกับเรา

เรียนรู้จากการเลิกกัน

เมื่อมีการเลิกกัน ให้ทบทวนเหตุการณ์หรือสาเหตุที่เกิดขึ้นเพื่อจะได้มีการปรับปรุงตัวใหม่ เมื่อมีการรู้จักตัวเองมากขึ้น ก็จะเป็นการเพิ่มความเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นมากขึ้นอีกด้วย ถือว่าเป็นการเรียนรู้ที่ดีเลยทีเดียว

เคลียร์สิ่งที่ทำให้ใจกลับไปคิดเรื่องเดิม

สิ่งที่ทำให้นึกถึงเรื่องเดิม ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพ เฟซบุ๊ก สถานที่เคยไปพักผ่อน ร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ที่ไปดูด้วยกัน อื่น ๆ สิ่งเหล่านี้ควรหลีกเลี่ยง เพราะจะทำให้ชีวิตไม่ก้าวไปไหนและจมอยู่แต่กับความเศร้า

ความรักที่ไปต่อไม่ได้ ในวันที่เขามีคนใหม่ไปแล้ว ไม่ต้องไปเสียใจว่าเราสู้คนนั้นไม่ได้ อย่าเอาศักดิ์ศรีหรือความภูมิใจของเราไปฝากกับคนอื่น นอกจากนี้ไม่ควรดูถูกความภูมิใจหรือศักดิ์ศรีในตัวเขา แต่ให้ยอมรับข้อบกพร่องที่เขาปรับไม่ได้ เพียงเท่านี้ก็จะทำให้จากกันด้วยดีหรืออาจจะเป็นมิตรกันต่อไปได้ในภายภาคหน้า

วิธีบอกเลิกอย่างถนอมน้ำใจสำหรับฝ่ายบอกเลิก