Author Archives: Cory Evans

อุปกรณ์พื้นฐาน ที่มือใหม่หัดเย็บควรมี

อุปกรณ์พื้นฐาน ที่มือใหม่หัดเย็บควรมี

สำหรับผู้เริ่มเย็บผ้า ควรเริ่มต้นด้วยอุปกรณ์และเครื่องมือพื้นฐานเพื่อสร้างทักษะที่จำเป็น รายการสิ่งของที่แนะนำโดยทั่วไปสำหรับผู้เริ่มต้นในการตัดเย็บมีดังนี้

จักรเย็บผ้า

เลือกจักรเย็บผ้าขั้นพื้นฐานที่ใช้งานง่ายเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น

ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีคุณสมบัติที่จำเป็น เช่น ตะเข็บตรง ตะเข็บซิกแซก และตัวเลือกตะเข็บถอยหลัง

เข็ม

เข็มเย็บมือแบบต่างๆ สำหรับการซ่อมแซมขั้นพื้นฐาน

เข็มจักรเย็บผ้าที่เหมาะกับผ้าต่างๆ (เช่น เข็มสากล, ปากกาลูกลื่น หรือเข็มเดนิม)

เกลียว

สีด้ายพื้นฐาน เช่น โทนสีดำ สีขาว และโทนสีกลางๆ

เลือกประเภทด้ายให้ตรงกับเนื้อผ้าของคุณ (โพลีเอสเตอร์เหมาะสำหรับมือใหม่)

กรรไกรตัดผ้า

กรรไกรคุณภาพสูงสำหรับตัดผ้าโดยเฉพาะ

เครื่องมือวัด

สายวัดสำหรับการวัดที่แม่นยำ

ไม้บรรทัดหรือปทัฏฐานสำหรับเส้นตรงและชายเสื้อ

หมุดและเบาะรองนั่ง

หมุดตรงสำหรับยึดชิ้นผ้าเข้าด้วยกัน

เบาะรองหมุดหรือที่ยึดหมุดแม่เหล็กเพื่อจัดระเบียบหมุดและอยู่ใกล้แค่เอื้อม

เครื่องเลาะตะเข็บ

ใช้ในการเลิกเย็บในกรณีที่เกิดข้อผิดพลาด

เตารีดและโต๊ะรีดผ้า

จำเป็นสำหรับการรีดตะเข็บและรับประกันการตกแต่งแบบมืออาชีพ

เครื่องมือทำเครื่องหมายผ้า

ชอล์ก ปากกามาร์กเกอร์บนผ้า หรือดินสอของช่างตัดเสื้อสำหรับทำเครื่องหมายลวดลายและเส้นแนวบนผ้า

กระสวย

กระสวยพิเศษสำหรับจักรเย็บผ้าของคุณ

พื้นที่จัดเก็บ

อุปกรณ์จัดระเบียบ เช่น ถังหรือกล่องเก็บของเพื่อเก็บอุปกรณ์เย็บผ้าของคุณให้เป็นระเบียบ

ลวดลาย

เลือกรูปแบบที่เรียบง่ายสำหรับผู้เริ่มต้นสำหรับโปรเจ็กต์แรกของคุณ

ปลอกนิ้ว

ปกป้องนิ้วของคุณเมื่อเย็บด้วยมือ

มาตรวัดการเย็บผ้า

ช่วยวัดและทำเครื่องหมายชายเสื้อและค่าเผื่อตะเข็บได้อย่างแม่นยำ

หมุดความปลอดภัย

ใช้สำหรับซ่อมชั่วคราวหรือยึดชั้นผ้าไว้ด้วยกัน

ตีนผี

จักรเย็บผ้าบางรุ่นมีตีนผีที่แตกต่างกัน ทำความคุ้นเคยกับสิ่งพื้นฐานอย่างน้อยสองสามอย่าง

หนังสือเย็บผ้าหรือแหล่งข้อมูลออนไลน์

หนังสือเย็บผ้าสำหรับผู้เริ่มต้นหรือบทเรียนออนไลน์สามารถให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ได้

จำไว้ว่าเมื่อคุณมีประสบการณ์มากขึ้น คุณอาจพบเครื่องมือและอุปกรณ์เพิ่มเติมที่เหมาะกับโครงการตัดเย็บเฉพาะของคุณ การเริ่มต้นด้วยพื้นฐานจะช่วยให้คุณสร้างรากฐานที่มั่นคงและมั่นใจในทักษะการตัดเย็บของคุณ

6 เคล็ด (ไม่) ลับสำหรับคนอยากทำงานแบบมืออาชีพ

6 เคล็ด (ไม่) ลับสำหรับคนอยากทำงานแบบมืออาชีพ

เชื่อว่าคนทำงานจำนวนมากต้องเผชิญปัญหางานล้นมือ ทำเท่าไหร่ก็ไม่ทัน จนทำให้รู้สึกตนเองทำงานไม่เก่งและไม่เป็นมืออาชีพ แต่ทราบหรือไม่ว่าการทำงานให้แล้วเสร็จทันเวลาและทำงานเก่งแบบมืออาชีพมีเทคนิคง่าย ๆ ที่สามารถทำตามได้ รับรองว่าหากทำตามคำแนะนำเหล่านี้ คุณจะกลายเป็นคนทำงานมืออาชีพอย่างแน่นอน

เคล็ด (ไม่) ลับสำหรับคนอยากทำงานแบบมืออาชีพ

1. ทำ To Do List

เริ่มต้นทำงานแบบมืออาชีพและมีแบบแผนได้อย่างง่าย ๆ ด้วยการเขียน To Do List หรือลิสต์งานแต่ละวันว่าต้องทำอะไรบ้าง การทำแบบนี้จะช่วยให้คุณทราบว่าแต่ละวันมีปริมาณงานมากหรือน้อยเพียงใดจะได้บริหารเวลาได้อย่างเหมาะสม แถมยังช่วยให้ไม่ลืมงานอื่น ๆ อีกด้วย

2. วางแผนทำงานเสมอ

เมื่อทำ To Do List แล้ว คนทำงานแบบมืออาชีพมักให้ความสำคัญกับการวางแผนการทำงาน แต่ละวันเพียงสละเวลา 10-15 นาที เพื่อวางแผนว่างานใดควรทำก่อนและงานใดสามารถเก็บไว้ทำวันหลังได้ อีกทั้งการวางแผนยังช่วยให้ประหยัดเวลาทำงาน เช่น การเขียนอีเมลขอข้อมูลกับอีกแผนกในช่วงเช้า ระหว่างรอข้อมูลก็จะมีเวลาไปทำงานอื่น ๆ ได้อีก เป็นต้น

3. ทำงานสำคัญที่สุดในช่วง Deep Work

การทำงานแบบ Deep Work คือ ทักษะการทำงานแบบใจจดใจจ่อกับสิ่งที่ทำ ซึ่งนี่คือหนึ่งในเทคนิคการทำงานของคนที่ประสบความสำเร็จและมืออาชีพ เทคนิคง่าย ๆ คือการกำหนดเวลาเพื่อทำงานงานหนึ่งให้แล้วเสร็จ โดยจะต้องไม่วอกแวกกับสิ่งอื่น จนกว่าจะครบกำหนดเวลานั่นเอง

4. พัฒนาทักษะสำคัญเสมอ

คนทำงานมืออาชีพมักให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อการทำงาน ไม่ว่าจะเป็น ทักษะด้านภาษา ทักษะด้านการสื่อสาร ทักษะการเจรจาต่อรอง ฯลฯ ซึ่งทักษะเหล่านี้ล้วนทำให้ทำงานเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

5. รู้จักมอบหมายงานให้คนอื่น

การรับงานทุกอย่างมาทำคนเดียวอาจไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่ นอกจากทำให้เสียสุขภาพกายและสุขภาพจิตแล้วยังทำให้งานช้า คนทำงานมืออาชีพจึงมักมอบหมายงานบางอย่างให้คนอื่นทำบ้าง เพื่อให้ตนเองโฟกัสงานสำคัญได้ดียิ่งขึ้น

6. หาเวลาพักผ่อนบ้าง

การทำงานแบบมืออาชีพใช่ว่าจะต้องทุ่มเทเวลาให้การทำงานเท่านั้น เพราะการพักผ่อนหรือหาเวลาผ่อนคลายความเครียดก็เป็นสำคัญ ดังนั้น อย่าลืมหาเวลาพักเบรกเพื่อเติมไฟการทำงาน จากนั้นจึงค่อยเดินหน้าลุยงานต่อจะดีกว่า

นอกจากเทคนิคเหล่านี้จะช่วยให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพแบบมืออาชีพแล้วยังช่วยให้ทำงานเสร็จแล้ว เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้  เพราะฉะนั้นใครที่มีภาระงานหนักอึ้ง อยากผ่อนหนักเป็นเบา หรืออยากสะสางงานให้เสร็จตามเวลา แนะนำให้ลองเอาเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้ เชื่อว่าในอนาคตคุณจะกลายเป็นคนทำงานแบบมืออาชีพอย่างแน่นอน

7 อาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดช่วยให้สุขภาพของคุณดีขึ้น

7 อาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดช่วยให้สุขภาพของคุณดีขึ้น

ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคหัวใจเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เนื่องจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ดี ทั้งความเครียดและอาหารการกิน ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันและโซเดียมสูง เพราะอาหารเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคดันโลหิตสูงซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่นำไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือดได้ วันนี้เราจะมาแนะนำ 7 อาหารที่ควรรับประทานเพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดจะมีอะไรบ้าง ตามไปดูกันเลย

1.ปลาทะเล

ปลาทะเลมีโอเมก้า 3 สูงและน้ำมันจากปลาทะเลช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด สามารถป้องกันการเกิดโรคหัวใจและช่วยลดการอักเสบของหลอดเลือดได้ ควรรับประทานปลาทะเลอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 คร้ัง เพื่อช่วยลดสาเหตุที่อาจทำให้เกิดโรคหัวใจ

2.น้ำมันจากถั่วเปลือกแข็งและเมล็ดพืช

น้ำมันจากพืชที่ควรเลือกใช้ เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันงา น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา และน้ำมันถั่วลิสง  เนื่องจากน้ำมันจากพืชเหล่านี้มีกรดแอลฟา-ลิโนเลนิกสูง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของความดันโลหิตสูงที่อาจนำไปสูงโรคหัวใจ แต่ก็ไม่ควรบริโภคมากจนเกินไป และไม่ควรบริโภคน้ำมันที่เป็นไขมันอิ่มตัว อย่างเช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันจากสัตว์ รวมถึงการใช้น้ำมันทอดอาหารซ้ำ

3.อะโวคาโด

อะโวคาโดเป็นผลไม้โปรดของใครหลายคน เพื่อน ๆ ทราบไหมว่าการรับประทานอะโวคาโดช่วยลดความดันโลหิต เนื่องจากผลไม้ชนิดนี้อุดมโพแทสเซียม 975 มิลลิกรัม/ลูก หรือประมาณ 1 ใน 3 ของปริมาณโพแทสเซียมที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน ซึ่งโพแทสเซียมช่วยลดความดันโลหิตซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจได้เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อสุขภาพหัวใจมาก ๆ เลย 

4.ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่มีมากมายหลายชนิด เช่น  สตรอว์เบอร์รี่ บลูเบอรี่ ราสเบอร์รี แครนเบอร์รี่ มัลเบอร์รี่ เป็นต้น ซึ่งผลไม้ตระกูลนี้อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ กรดโฟลิก โพแทสเซียม  ใยอาหาร แอนโทไซยานิน วิตามิน และแร่ธาตุ ซึ่งช่วยลดความเครียด และช่วยป้องกันการสะสมของไขมันบริเวณผนังหลอดเลือดที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน 

5.อัลมอนด์

ในเมล็ดอัลมอนด์มีไขมันที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งเป็นไขมันดี และลดระดับ LDL ไขมันเหลวในร่างกายแต่ไม่ควรรับประทานมากจนเกินไป ควรรับประทานวันละประมาณ 1 กำมือ หรือ 24 เมล็ด เพื่อช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล 

6.ผักใบเขียว

ผักใบเขียวประกอบไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ 

7.เนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน

เนื้อสัตว์เป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญแต่การบริโภคเนื้อสัตว์ที่ติดมันมากเกินไปจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ

ยิ่งอายุมากขึ้น โอกาสในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันก็จะเพิ่มขึ้นตามอายุด้วย ดังนั้นจึงควรหันมาใส่ใจสุขภาพตั้งแต่วันนี้เลยนะคะ

ก่อนลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มีข้อควรรู้อะไรบ้าง

ก่อนลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มีข้อควรรู้อะไรบ้าง

เชื่อว่าหลายคนมีความฝันเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่การลงมือลงแรงใช้ระยะเวลาปลุกปั้นจนกว่าจะได้กำไร เป็นเรื่องที่เสียเวลามาก ผู้ที่มีเงินอยู่แล้วต่างก็ลงทุนใน “อสังหาริมทรัพย์” แน่นอน เพราะใช้เวลาไม่นาน ก็สามารถสร้างกำไรได้แล้ว แต่รู้หรือไม่ว่าเบื้องหลังของธุรกิจดังกล่าวเป็นเรื่องที่ควรรู้เช่นกัน ซึ่งจะมีอะไรบ้างมาดูกันเลยดีกว่า

1.ทำเลที่ตั้ง

ปัจจัยกำหนดราคาอสังหาริมทรัพย์เป็นอันดับแรกนั่นคือ “ที่ตั้ง” ยิ่งทำเลอยู่ติดถนนใหญ่ ใกล้สถานีรถไฟฟ้า ราคาที่ดิน บ้านเดี่ยว หรือห้องพักคอนโดต่างปรับตัวสูงขึ้นในทุกปี แต่ก็ไม่ใช่อสังหาฯ ทุกประเภทที่ราคาจะปรับตัวอย่างก้าวกระโดด เพราะบางที่ทำเลไม่ดีนัก เช่น อยู่ติดโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุไม่ว่าจะเป็น โรงงานไฟไหม้ หรือเกิดการระเบิดขึ้น หรือที่ดินแปลงเปล่าลักษณะเป็นหนองน้ำ ราคาย่อมต่ำกว่าที่ดินทั่วไป เนื่องจากการก่อสร้างจำเป็นต้องถมดินจำนวนมาก และใช้เวลาปรับผิวดินค่อนข้างนาน

ที่ดินอีกประเภทที่ไม่ควรลงทุน คือ อยู่ในระหว่างการเวนคืนจากการลงทุนภาครัฐไม่ว่าจะเป็นทางด่วน หรือรถไฟฟ้า ซึ่งก่อนซื้อที่ดินในพื้นที่ดังกล่าวควรติดตามข่าวสารในเบื้องต้นว่าถูกเวนคืนหรือไม่ และลักษณะของที่ดินอันเสี่ยงต่อการโดนเวนคืน มักอยู่ติดกับพื้นที่สำคัญ เช่น สถานีรถไฟฟ้า หรือติดถนนใหญ่ เป็นต้น

และทำเลอีกชนิด ที่ควรหลีกเลี่ยงลงทุนอย่างสูงคือ ที่ดินตาบอด ซึ่งมักเจอได้บ่อยในต่างจังหวัด โดยลักษณะของที่ดินเช่นนี้ จะไม่มีทางออกสู่ถนนสาธารณะ จำเป็นต้องขอทางผ่านจากเจ้าของที่ดินโดยรอบ ทำให้เกิดปัญหากระทบกระทั่งกันอยู่บ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้ราคาที่ดินตาบอดจึงต่ำกว่าที่ดินอื่นๆ

2.อย่าลงทุนโดยไม่เห็นสถานที่จริง
ปัจจุบันมีการโฆษณาชวนลงทุนคอนโด หรือที่เรียกกันว่า “คอนโดปิดหนี้” โดยมิจฉาชีพอ้างว่าจะได้ผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปี แล้วก็ปิดหนี้ที่เคยเป็นอยู่ได้หมด ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อยหลงเชื่อ แห่กันไปกู้เงินจากธนาคารที่อัตราดอกเบี้ย 6 – 7% ต่อปี โดยคนกลุ่มนี้ไม่เคยเห็นสถานที่เลยว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไร และสุดท้ายพบกับความจริงว่าเป็นเพียงแค่แชร์ลูกโซ่เท่านั้น เงินที่เคยจ่ายผ่อนคอนโดไป ก็เป็นเพียงคอนโดสภาพไม่น่าอยู่ ทำให้ไม่สามารถขายหรือปล่อยเช่าได้ และผู้หลงเชื่อเป็นหนี้ก้อนโตไปตามกัน

3.การปล่อยเช่าไม่ได้หมายถึงกำไรเสมอไป

หลายคนเข้าใจว่าการทำธุรกิจเสือนอนกินอย่างการปล่อยเช่าบ้าน หรือห้องพักจะสามารถสร้างกำไรได้ง่ายๆ แต่ต้นทุนของเจ้าของอสังหาฯ ก็มีไม่น้อย เช่น ค่าเช่าห้อง+ค่าน้ำค่าไฟ ก็อาจไม่สามารถเก็บเงินครบได้ในทุกเดือน และลูกบ้านบางคนชักดาบไม่จ่าย แถมทำลายข้าวของในบ้านเสียหายเมื่อเราไปทวงเงินค่าห้อง ซึ่งกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นจำนวนไม่น้อยกับผู้เช่าบ้านที่ไม่มีคุณภาพ จนส่งผลให้เราเสียค่ารีโนเวทแพงกว่ารายได้ที่รับในแต่ละเดือนเสียอีก

นอกจากนี้ก่อนลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ควรศึกษากฎหมายและระเบียบต่างๆ เพื่อไม่ให้เสียเปรียบจนเกินไป เพราะกฎหมายบางข้อ เช่น การครอบครองปรปักษ์ และการเสียภาษีที่ดินในกรณีที่ปล่อยรกร้าง เป็นการบังคับให้เจ้าของที่ดินหมั่นดูแล และพัฒนาพื้นที่ของตนอย่างสม่ำเสมอ มิเช่นนั้นแล้วที่ดินอาจเสียกรรมสิทธิ์ และต้องจ่ายภาษีมากจนเกินไปในแต่ละปี

10 ต้นไม้ฟอกอากาศ ช่วยดักจับฝุ่น PM 2.5 ให้อากาศในบ้านดีขึ้น

10 ต้นไม้ฟอกอากาศ ช่วยดักจับฝุ่น PM 2.5 ให้อากาศในบ้านดีขึ้น

ปัจจุบันเราต้องเผชิญหน้ากับอากาศที่มีแต่ฝุ่นและมลพิษ โดยเฉพาะ PM 2.5 ซึ่งเป็นฝุ่นที่มีขนาดเล็กและเป็นอันตรายต่อสุขภาพของเรา ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อระบบทางเดินหายใจ การใช้เครื่องฟอกอากาศเป็นตัวช่วยสำคัญในการลดมลพิษทางอากาศทำให้บ้านของเรามีอากาศที่บริสุทธิ์ขึ้น อีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยดักจับฝุ่นละอองได้ดีก็คือ การปลูกต้นไม้ฟอกอากาศ นอกจากจะช่วยทำให้บ้านดูสวยงามน่าอยู่แล้ว ต้นไม้เหล่านี้ ยังมีคุณสมบัติที่ช่วยลดมลพิษทางอากาศได้อีกด้วย จะมีต้นไม้อะไรบ้าง ตามไปดูกันเลย

  1. มอนสเตอร่า

เป็นต้นไม้ที่สวยงามแถมยังดูแลง่ายมาก ๆ ให้รับแสงแดดรำไร รดน้ำปานกลาง-มาก ต้นไม้ชนิดนี้มีคุณสมบัติดูดสารพิษได้ดีมาก และเหมาะสำหรับปลูกไว้ในห้อง

  1. ไทรใบสัก

ลักษณะเด่น คือ มีใบขนาดใหญ่ เป็นไม้เลี้ยงง่ายต้องการแสงปานกลางถึงรำไร และไม่ต้องการน้ำชุ่ม มีคุณสมบัติในการดูดสารพิษและฟอกอากาศในบ้านให้สดชื่น  เหมาะแก่การปลูกไว้ในบ้านตรงที่มีแสงแดดส่องถึง

  1. ยางอินเดีย

เป็นต้นไม้ที่มีใบหนาสีเขียวเข้ม อาจจะมีลวดลายและสีแตกต่างกันออกไป โตได้ดีในที่มีแสงแดดส่องตลอดทั้งวัน ปลูกง่าย แข็งแรงทนทาน แถมยังมีคุณสมบัติฟอกอากาศได้ดีเยี่ยม

  1. เฟิร์นบอสตัน

นอกจากจะช่วยฟอกอากาศในบ้านได้แล้ว ยังสามารถดูดสารพิษได้อีกด้วย โดยเฉพาะสารพิษพวกฟอร์มาดีไฮด์ ชอบความชื้นสูง ชอบแสงแดดรำไรถึงค่อนข้างมาก เหมาะสำหรับปลูกไว้ในอาคารบ้านเรือน

  1. ว่านหางจระเข้

เป็นพืชอวบน้ำ นอกจากจะมีคุณสมบัติลดการบวมและรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลอกแล้ว ยังสามารถดูดซับสารพิษฟอร์มัลดีไซด์ได้ดี เสี้ยงง่ายในที่ที่มีแสงแดดรำไร ดินร่วนที่ระบายน้ำได้ดี

  1. ลิ้นมังกร

ลิ้นมังกรเป็นพืชที่ดูดคาร์บอนไดออกไซด์และคายออกซิเจนในตอนกลางคืน สามารถปลูกไว้ในห้องนอนได้ชอบแสงแดดรำไรและทนแสงน้อยได้ดี

  1. พลูด่าง

เป็นต้นไม้ที่เลี้ยงง่ายและโตไวมาก สามารถปลูกในน้ำหรือในดินก็ได้ มีคุณสมบัติช่วยดูดซับสารพิษเบนซีนและก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ได้ และยังคายความชื้นในอากาศได้ดีมาก

  1. ปาล์มไผ่

เป็นต้นไม้ที่มีความทนทาน ชอบแสงแดดรำไร เลี้ยงในร่มได้ ปลูกเป็นรั้วบ้านเพื่อช่วยกรอฝุ่นละอองก็ได้เพราะมีคุณสมบัติดูดสารพิษได้ดีเยี่ยม

  1. เดหลี

สามารถดูดสารพิษได้หลากหลายชนิด ทั้งแอลกอฮอล์ อาซีโตน ไตรคลอไรเอทิลีน เบนซีนและฟอร์มาดีไฮด์ เหมาะอย่างยิ่งที่จะปลูกไว้ในบ้าน

  1. หมากเหลือง

เป็นพืชที่มีอายุยืน ดูแลง่าย และทนต่อสภาพแวดล้อม มีคุณสมบัติสูงในการดูดสารพิษ ต้องการแสงแดดรำไร ความชื้นปานกลาง

หากใครกำลังหาต้นไม้ฟอกอากาศมาปลูกไว้ที่บ้าน ก็เลือกดูไว้แล้วไปหาซื้อมาแต่งกันได้เลย นอกจากจะช่วยให้อากาศในบ้านสะอาดขึ้นแล้วยังทำให้บ้านสวยงามน่าอยู่ขึ้นอีกด้วย

คนเราไม่นอนได้หรือไม่ การหลับพักผ่อนสำคัญไฉน?

คนเราไม่นอนได้หรือไม่ การหลับพักผ่อนสำคัญไฉน

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการดำรงชีวิตของคนเราเกือบ 1 ใน 3 หรือประมาณ 25 ปีหมดไปกับการนอน การที่ร่างกายได้นอนหลับพักผ่อนจะทำให้สมองมีประสิทธิภาพในการทำงานดีมากขึ้น แต่กระนั้นคนเราก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าที่ควร ส่งผลให้สมาธิสั้น ความจำแย่ลงเรื่อย ๆ รวมไปถึงการตื่นตัวของร่างกายก็จะน้อยลง ฉะนั้นควรหันมาใส่ใจการนอนเพื่อสุขภาพที่ดี 

เหตุผลที่คนเราต้องนอนหลับ

การนอนหลับไม่เพียงทำให้คุณได้พักผ่อนเติมพลังเท่านั้น ยังมีอีกหลายปัจจัยที่คนเราต้องนอนเพื่อเสริมสร้างสิ่งต่าง ๆ ให้ร่างกาย เพื่อการดำรงอยู่ โดยมีเหตุผลดังนี้

•ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเองในขณะที่กำลังหลับ โดยเฉพาะสมองที่ถูกใช้งานอย่างหนัก เมื่อพักผ่อนจะกลับมาทำงานได้ปกติอีกครั้ง

• เป็นการเก็บพลังงาน คล้ายกับการที่เราชาร์จแบตนั้นเอง

• การนอนคือการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นช่วงกลางวันหรือกลางคืนก็ตาม

• สุขภาพของสมองและประสาทต่าง ๆ ได้พักผ่อน

• อุณหภูมิของร่างกายจะมีความสมดุล

นอนนานแค่ไหนจึงจะเพียงพอ?

อายุ สุขภาพ เป็นปัจจัยที่ทำให้ความต้องการในการนอนหลับพักผ่อนของคนเราไม่เท่ากัน สำหรับผู้ใหญ่ควรนอนไม่ต่ำกว่าวันละ 7 ชั่วโมง ยกเว้นในกรณีที่ป่วยไม่สบายหรือก่อนหน้านั้นอดหลับอดนอน แน่นอนว่าร่างกายต้องการพักผ่อนเพิ่ม เพื่อให้พลังกลับมา ทางด้านของเด็กแนะนำว่าให้นอนไม่ต่ำกว่า 9 ชั่วโมง อย่างไรก็ต้องดูในเรื่องของช่วงอายุด้วยเพราะแต่ละวัยต้องการนอนหลับที่ต่างกัน ไม่ว่าจะวัยไหนการนอนคือการให้ร่างกายได้พักผ่อน โดยเฉพาะในเด็ก ๆ จะทำให้ร่างกายได้เจริญเติบโตและพัฒนาอย่างสมบูรณ์

ความสำคัญของการนอนที่คุณต้องรู้เพื่อสุขภาพที่ดี

แม้ว่าแต่ละวัยจะมีความต้องการในเรื่องของการนอนที่ต่างกัน ซึ่งเวลานอนที่เหมาะสมของคนทั่วไปคือจะต้องไม่เกินเที่ยงคืน ถือเป็นเวลาที่มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมภายนอกอยู่และช่วงเวลาที่เหมาะสมในการตื่นคือไม่เกิน 8 โมงเช้า นอกจากนี้การนอนจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นจะต้องปรับสภาพแวดล้อมในห้องนอนให้โล่ง ปรอดโปร่ง ทำให้หลับง่ายและนานมากขึ้น  

จากข้อมูลข้างต้นสรุปโดยรวมได้ว่าการนอนเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะในช่วงที่คุณกำลังหลับอยู่นั้นร่างกายกำลังซ่อมแซมตัวเองและชาร์จพลังและในแต่ละวัยควรนอนให้เพียงพออย่างเช่น วัยผู้ใหญ่ต้องนอนอย่างน้อย 7 ชั่วโมง เด็กแต่ละช่วงวัยนอนให้มากที่สุดตั้งแต่ 9 ชั่วโมงขึ้นไป นอกจากนี้หากคุณสังเกตว่าในตอนที่ง่วงแล้วได้หลับสัก 10 นาทีขึ้นไป จะรู้สึกเลยว่าสดชื่น กระฉับกระเฉงขึ้นมา นั้นเพราะร่างกายได้พักไปพร้อมกับได้เติมพลัง เพื่อสุขภาพที่ดีควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอ

การนอนมากไป เกิดผลเสียมากกว่าที่คุณคิดและนำไปสู่โรคร้ายได้

การนอนมากไป เกิดผลเสียมากกว่าที่คุณคิดและนำไปสู่โรคร้ายได้

ปัญหาของการนอน ไม่ได้มีเพียงแค่การนอนน้อยหรือนอนหลับไม่เพียงพอเท่านั้น แต่การนอนมากเกินไปก็เป็นอีกหนึ่งตัวปัญหาที่ทำร้ายร่างกายของคุณได้ ข้อเสียการนอนมากเกินไป เมื่อตื่นแล้วก็รู้สึกว่าต้องการนอนต่อไปอีก ระหว่างวันก็ต้องการงีบหลับหลาย ๆ ครั้ง หากพบมีอาการหรือมีคนใกล้ตัวที่มีอาการแบบนี้แนะนำควรรีบนำมาพบแพทย์เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่าง ๆ ตามมาได้

ข้อเสียของการนอนมากเกินไป

  1. เสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า

มีอารมณ์แปรปรวน สมองทำงานแย่ลงเพราะสารแห่งความสุขจะผลิตน้อยลง ซึ่งเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าคนที่นอนปกติถึง 49% ผู้ที่นอนหลับระหว่าง 7-9 ชั่วโมง มีโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคซึมเศร้าร้อยละ 27 ขณะที่ผู้ที่นอนหลับนาน 9 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้นจะมีโอกาสเสี่ยงมากถึงร้อยละ 49

  1. สมองเบลอและความจำแย่

มองทำงานช้า ความคิดความอ่านก็จะช้า รู้สึกเฉื่อยชา กลายเป็นคนไร้เรี่ยวแรง ไม่มีชีวิตชีวา ไม่อยากขยับร่างกาย ทำให้กระดูกและกล้ามเนื้อไม่ค่อยถูกใช้งาน ซึ่งเป็นสาเหตุการเกิดโรคเกี่ยวกับกระดูกได้ มีการศึกษาในปี 2012 พบว่าหญิงชราที่นอนหลับมากเกินไปหรือน้อยเกินไปนานติดต่อกันมากกว่า 6 ปี สมองจะเสื่อมประสิทธิภาพในการทำงาน เช่นเดียวกับหญิงสาวซึ่งนอนหลับมากกว่า 9 ชั่วโมงหรือน้อยกว่า 5 ชั่วโมงก็จะมีสมองที่แก่เร็วกว่าปกติถึง 2 ปี 

  1. น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นและเสี่ยงโรคเบาหวาน

การนอนจะทำให้ระบบอาหารไม่ย่อย แม้จะกินน้อยแต่ระบบเผาผลาญไม่ทำงาน ร่างกายเริ่มสะสมไขมัน ซึ่งก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ ไม่ว่าจะเป็น โรคหัวใจ ความดัน และเบาหวาน นักวิจัยพบว่าผู้ที่นอนหลับมากกว่า 8 ชั่วโมง จะมีโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 มากกว่าผู้ที่นอนหลับระหว่าง 7-8 ชั่วโมง มากถึง 2 เท่า แม้ว่าจะมีการควบคุมการเปลี่ยนแปลงของมวลร่างกายแล้วก็ตาม

  1. เสี่ยงเสียชีวิตเร็ว

คนที่หลับง่ายและนอนนาน ๆ จะไม่ค่อยได้ขยับร่างกาย ส่งผลให้ออกซิเจนไม่ไปเลี้ยงร่างกาย ทำให้มีโอกาสเสียชีวิตเร็วกว่าคนที่นอนอย่างพอดีถึง 1.3%

เทคนิคการนอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพ

นอนหลับได้ดีอย่างมีประสิทธิภาพ เข้านอนไม่เกิน 4 ทุ่มเพื่อให้ร่างกายได้รับฮอร์โมนดีๆ ต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้จะช่วยให้หลับได้ดีรวมไปถึงทำให้ร่างกายมีการฟื้นฟูซ่อมแซมตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ จัดห้องนอนให้โปร่ง อากาศระบายได้ดี ร่างกายที่ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอจะทำให้สมองเซื่องซึม และง่วงนอนตลอดเวลา กำหนดตารางเข้านอน และตื่นนอนเวลาเดียวกันทุกๆ วัน ติดต่อกัน 28 วัน ร่างกายจะสร้างระบบนาฬิกาชีวิตของตัวเราเองขึ้นมาใหม่ จะตื่นได้เองอย่างสดชื่น

ใส่ไอเดียที่น่าสนใจให้กับห้องของคุณด้วยวอลเปเปอร์

ใส่ไอเดียที่น่าสนใจให้กับห้องของคุณด้วยวอลเปเปอร์

สำหรับคนที่มีสไตล์ ชอบความยูนิคไม่เหมือนใคร คุณคงไม่อยากอยู่กับห้องที่ตกแต่งเดิมๆ ไปนานๆ เรามีไอเดียสำหรับการตกแต่งห้องด้วยวิธีง่าย ๆ ไม่ว่าคุณจะต้องการรีเฟรชผนังห้องของคุณให้ครีเอทไปจากเดิม หรือจะเพิ่มความสนุกสนาน อัปเกรดมู๊ดแอนด์โทนโดยรวมของห้อง เราแนะนำให้คุณลองใช้วอลล์เปเปอร์หรือกระดาษปิดผนัง วิธีง่าย ๆ เพื่อที่จะทำให้คุณได้ห้องใหม่จากการ DIY ด้วยตัวคุณเอง 

ใส่ไอเดียที่น่าสนใจให้กับห้องของคุณด้วยวอลเปเปอร์

วอลล์เปเปอร์สีละมุน จะช่วยสร้างฉากหลังที่สมบูรณ์แบบให้กับภาพถ่าย หรืองานศิลปะชิ้นโปรดของคุณได้อย่างยอดเยี่ยมอย่างที่คุณเองก็จะต้องแปลกใจเลยทีเดียว นอกจากนั้นวอลเปเปอร์ลายเก๋ยังช่วยสร้างคาแรคเตอร์ให้ห้องของคุณโดดเด่นไม่เหมือนใครได้อีกด้วย

ข้อดีของวอลล์เปเปอร์

ในปัจจุบันวอลล์เปเปอร์พัฒนาให้มีกาวในตัว ในลักษณะคล้ายกับเป็นสติ๊กเกอร์ติดผนัง วอลล์เปเปอร์จึงมีข้อดีและจุดเด่นในเรื่องของการติดตั้งที่ทำได้ง่ายดายมาก ๆ ถึงคุณจะเป็นมือใหม่หัดติดตั้งครั้งแรก คุณก็สามารถทำเองได้ไม่ต้องง้อช่าง นอกจากนั้นลวดลาย แพทเทิร์น ต่าง ๆ ของวอลล์เปเปอร์ก็มีให้เลือกมากมาย 

เมื่อเปรียบเทียบกับการตกแต่งห้องใหม่ด้วยการทาสีแล้ว การใช้วอลล์เปเปอร์ลวดลายอาร์ต ๆ เพื่อสร้างสีสันให้กับผนังห้องใหม่ จะถือว่ามีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่ามาก อีกทั้งยังใช้เวลาในการติดตั้งน้อย และไม่มีความจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์ของเดิม ในระหว่างการทำการติดตั้งวอลล์เปเปอร์มากนัก คุณจึงสามารถเปลี่ยนลวดลายของวอลล์เปเปอร์ได้บ่อยครั้งตามใจต้องการ

ตัวอย่างวอลล์เปเปอร์ที่มีให้เลือกหาในท้องตลาด

มีวอลล์เปเปอร์ให้เลือกจากวัสดุต่างๆ มากมายอย่าง เช่น วอลล์เปเปอร์ไวนิล จะเป็นกระดาษติดผนังที่เคลือบด้วยสารไวนิลพิมพ์สี ให้ผิวสัมผัสมันวาว ทำความสะอาดและดูแลรักษาได้ง่าย จึงได้รับความนิยมมากๆ ส่วนวอลล์เปเปอร์อีกประเภทหนึ่งได้แก่ วอลล์เปเปอร์โฟม ซึ่งเป็นวอลล์เปเปอร์กระดาษที่เคลือบผิวด้วยโฟม PVC แล้วขึ้นลายนูน วอลล์เปเปอร์ชนิดนี้จะมีลวดลายเด่นชัด หนานุ่ม แต่ต้องคอยเช็ดทำความสะอาดบ่อย ๆ จึงเหมาะกับการติดตั้งในที่ที่ไม่มีฝุ่นมากนัก แต่มีข้อดีคือน้ำหนักเบา จึงสามารถประยุกต์ใช้กับฝ้าเพดานได้ด้วยเป็นต้น

วอลล์เปเปอร์จะช่วยสร้างอารมณ์ความรู้สึกให้กับห้องหรือบ้านได้อย่างน่าสนใจ คุณสามารถสร้างสรรค์ให้มู๊ดแอนด์โทนเป็นสไตล์หรูหรา สง่างาม หรือ อ่อนโยน อบอุ่น ก็ทำได้ เพียงแค่คุณเลือกสีและลายของวอลล์เปเปอร์ให้เหมาะกับสไตล์การตกแต่งห้องที่คุณต้องการ เปลี่ยนห้องเดิมๆ ที่น่าเบื่อให้สนุกสนานไม่เหมือนใคร ลองเลือก DIY วอลล์เปเปอร์งานตกแต่งง่ายๆ ที่ใคร ๆ ก็ทำได้และคุณก็เช่นกัน

วิธีดูแลบำรุงรักษา เครื่องปรับอากาศ ให้ใช้งานได้นาน

วิธีดูแลบำรุงรักษา เครื่องปรับอากาศ ให้ใช้งานได้นาน

เครื่องปรับอากาศเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทุกบ้านต้องมีและย่อมมีการเสื่อมสภาพตามการใช้งานเช่นเดียวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ดังนั้นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่ไม่ควรละเลยก็คือการดูแลบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศอยู่เสมอเพื่อให้สามารถใช้งานได้ในระยะยาวและจะได้ไม่ต้องเสียเงินซื้อใหม่อยู่บ่อย ๆ ซึ่งวันนี้เราก็มีวิธีดูแลบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศให้ใช้งานได้นานจะมีอะไรบ้างลองไปเช็กกันเลย

1. หมั่นทำความสะอาดไส้กรอง / แผ่นกรอง

หากสังเกตดี ๆ ถ้าบ้านไหนอยู่ใกล้ถนนไส้กรองหรือแผ่นกรองอากาศในเครื่องปรับอากาศก็จะสกปรกเร็วขึ้นเนื่องจากการกรองฝุ่นละอองที่อยู่ปะปนในอากาศนั่นเอง ดังนั้นควรถอดไส้กรองมาล้างทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่าอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง

2. ล้างอัดฉีด

เครื่องปรับอากาศเมื่อได้ผ่านการใช้งานประมาณ 4 – 6 เดือน ควรจ้างช่างมาล้างทำความสะอาดคอยล์ร้อนและคอยล์เย็น ทั้งนี้ก็เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานที่สำคัญจะได้ประหยัดค่าไฟรวมถึงยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น

3. เช็กระดับน้ำยา

น้ำยาแอร์คือสารทำความเย็นที่ไม่มีกลิ่นโดยจะเป็นองค์ประกอบหลักของเครื่องปรับอากาศ หากใช้ไปนาน ๆ น้ำยาจะหมดไปอาจทำให้เครื่องทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นหลังจากล้างอัดฉีดควรให้ช่างทำการตรวจเช็กระดับน้ำยาแอร์ทุกครั้ง

4. สังเกตเสียงดังผิดปกติ

ขณะที่เปิดใช้เครื่องปรับอากาศควรหมั่นฟังเสียงการทำงานของเครื่อง โดยหากพบว่ามีเสียงดังผิดปกติควรรีบแจ้งทางช่างชำนาญการเพื่อทำการแก้ไขขั้นต่อไป

5. เลี่ยงการใช้ความร้อนในห้องที่มีแอร์

ถ้าไม่อยากให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักจนเกินไปไม่ควรใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน เช่น ไมโครเวฟ, หม้อหุงข้าว, เตาแม่เหล็กไฟฟ้า, เตาอบ ในห้องแอร์

6. เช็คหน้าต่างประตูว่าปิดสนิทดีหรือไม่

แน่นอนว่าห้องที่มีเครื่องปรับอากาศจะต้องปิดให้สนิทเพื่อไม่ให้เครื่องทำงานหนักจนเกินไป ซึ่งหากพบว่าหน้าต่างปิดไม่สนิทหรือประตูมีช่องว่างกว้างเกินไปให้รีบแก้ไขในทันที

7. เลือกเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสมกับขนาดของห้อง

ความเหมาะสมถือเป็นสิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงเป็นอันดับแรก ๆ เลยก็ว่าได้ เพราะผู้ใช้งานจะต้องรู้ว่าขนาดพื้นที่ในห้องควรจะติดตั้งเครื่องปรับอากาศแบบไหน

8. อย่าให้แสงแดดส่องเข้าห้องโดยตรง

หากห้องที่ติดตั้งเครื่องปรับอากาศอยู่ในตำแหน่งที่รับแสงแดดโดยตรงควรติดตั้งม่านกำบังแดด เพื่อกรองแสงให้ผ่านเข้ามาในห้องได้น้อยที่สุดและจะช่วยให้ห้องเย็นเร็วขึ้นอีกทั้งยังช่วยให้เครื่องปรับอากาศไม่ทำงานหนักจนเกินไปอีกด้วย

และทั้งหมดนี้ก็คือวิธีดูแลบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศให้ใช้งานได้ยาวนาน ซึ่งการดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศเป็นประจำนั้นนอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังทำให้คุณภาพอากาศภายในบ้านดีขึ้นให้คุณสูดอากาศสดชื่นไร้กลิ่นอับนอนหลับสบายแถมยังลดการเกิดโรคภูมิแพ้ได้อีกด้วย

ผมมันเกิดจากอะไร? พร้อมแนะ 3 วิธีรับมือกับผมมันแบบเร่งด่วน!

ผมมันเกิดจากอะไร

ผมมัน หัวลีบ จัดทรงไม่สวย ดูไม่สะอาด! ใครที่ประสบกับปัญหาเหล่านี้อยู่บอกเลยว่าคงหนักใจอยู่ไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ วันนี้เรามีวิธีแก้ไขง่าย ๆ ที่สามารถทำตามได้อย่างแน่นอนมาแนะนำ แต่ก่อนที่จะไปดูวิธีรับมือนั้น เรามีสาระน่ารู้เล็ก ๆ น้อย ๆ มาแนะนำว่าแท้จริงแล้วผมมันนั้นเกิดจากอะไร ถ้าพร้อมแล้วตามมาดูพร้อมกันได้เลย ลุย!!

ผมมัน เกิดจากอะไร ?

ผมมันเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่หลัก ๆ แล้วมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราเป็นปัจจัยหลัก ดังต่อไปนี้ 

  1. การไม่ทำความสะอาดผม ทำให้เกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย เหงื่อ ทำให้เกิดเป็นความมันบนเส้นผม
  1. การสระผมด้วยน้ำอุ่น จะทำให้เส้นผมและหนังศีรษะแห้ง จนผิวหนังต้องกระตุ้นให้สร้างไขมันบนหนังศีรษะออกมาจำนวนมากและอาจมากจนเกินไปทำให้กลายเป็นคนที่ผมมันง่ายขึ้นมาทันทีเลยค่ะ
  1. การไม่ทำความสะอาดหมอน แน่นอนว่าฝุ่น เชื้อโรคและแบคทีเรียที่เราหนุนนอนทุกวันโดยไม่ทำความสะอาดเลย สิ่งสกปรกเหล่านี้ก็มักจะเกาะตัวและสะสมบนเส้นผม จนก่อให้เกิดความมันตามมาได้ 
  1. การไม่บำรุงรักษาเส้นผม จะทำให้สุขภาพของผมเสียสมดุลและก่อให้เกิดการผลิตน้ำมันบนเส้นผมออกมาในปริมาณมากได้

3 วิธีรับมือกับผมมันแบบเร่งด่วน!

การรับมือกับผมมันนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ทุกคนสามารถทำตามได้ง่าย ๆ ดังต่อไปนี้ 

  1. การสระผม เป็นวิธีการรับมือที่ง่ายที่สุด โดยควรสระผมทุก ๆ 2 วัน เป็นระยะเวลาการทำความสะอาดที่เหมาะสม ไม่ถี่เกินไป ไม่ห่างจนเกินไป จะช่วยคงสมดุลของหนังศีรษะและเส้นผมได้เป็นอย่างดี
  1. ใช้ดรายแชมพูเป็นตัวช่วยในเวลาเร่งด่วน เรียกได้ว่าเป็นไอเท็มที่คนผมมันต้องมี ดรายแชมพูเป็นสเปรย์ที่ช่วยเปลี่ยนผมมันให้กลายเป็นผมแห้งสวยเหมือนออกจากร้านทำผมมาใหม่ ๆ เหมาะสำหรับคนที่สภาพผมมันหนัก ๆ 
  1. แป้งฝุ่น อาวุธสำหรับคนผมมันที่ต้องมีติดตัว ในเวลาเร่งด่วนที่ไม่สามารถรอช้าได้แนะนำให้ใช้แป้งฝุ่นโรยบริเวณโคนผมจากนั้นให้ปัด ๆ ให้เนื้อฝุ่นของแป้งกระจายตัวให้ทั่วเส้นผม จะช่วยลดความมันลงได้ในทันที

ผมมันเกิดจากพฤติกรรมในการใช้ชีวิตเป็นหลัก และสามารถรับมือด้วยตนเองได้ไม่ยาก ง่ายที่สุดคือการบำรุง ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะให้สะอาดและชุ่มชื่นอยู่สม่ำเสมอ แต่หากใครมองหาวิธีจัดการกับผมมันฉบับรวดเร็วและเร่งด่วนเราก็ได้แนะนำไปทั้งหมด 3 วิธีด้วยกัน ในยามรีบเร่งจัดการได้ไวทันใจแน่นอน