Category Archives: สุขภาพ

11 กิจกรรมควรทำยามเช้าปลุกเร้าให้ปิ๊ง

กิจกรรมควรทำยามเช้าปลุกเร้าให้ปิ๊ง

การตื่นเช้าคงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่เป็นเรื่องที่เป็นไปได้และควรจะเป็น เพื่อเป็นการเพิ่มพลังชีวิตปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นอย่างรอบด้าน เราจะชวนคุณตื่นเช้าแล้วปลุกเร้าชีวิตให้ปิ๊งด้วย 11 กิจกรรมเหล่านี้

เตรียมพร้อมก่อนเข้านอน เช่น เตรียม To Do List ของวันพรุ่งนี้,จัดของใส่กระเป๋าให้พร้อม,ชุดที่จะใส่ไปทำงาน, ของว่างที่จะกินกับกาแฟตอนเช้า, อาหารมื้อเช้า เป็นต้น ช่วยให้เข้านอนด้วยจิตที่สงบ หลับสนิท สดชื่นเมื่อตื่นนอน

ปรับช่องให้แสงลอดเข้าห้องนอน ก่อนนอนให้ปรับม่านพอให้แสงลอดได้ระดับหนึ่ง แสงยามเช้าจะช่วยปลุกตื่นสร้างความกระตือรือร้น

ตั้งนาฬิกาปลุกก่อน 15-20 นาที เผื่อเวลาสำหรับยืดเหยียดแขนขา กลิ้งเล่นบนเตียง และจัดเก็บที่นอน

พักเรื่องเครียดไว้ก่อน หลีกเลี่ยงเรื่องเครียด หรือการตัดสินหนักๆ, อย่าเพิ่งอ่านข้อความไลน์ หรือคุยโทรศัพท์ รวมถึงการไม่นำเรื่องของคนอื่นมาขบคิดในยามนี้ พยายามอยู่กับตัวเองให้มากที่สุด เติมพลังให้เต็มที่แล้วค่อยกลับเข้าสู่โหมดปกติอีกครั้งในเวลาเริ่มงาน

อิ่มสุขกับกาแฟหอมกรุ่น ชงกาแฟร้อนหอมกรุ่น หามุมนั่งหน้าระเบียงบ้านเพื่อให้ได้รับแสงอ่อนยามเช้า สัมผัสลมเย็น ฟังเสียงนกร้อง หรือจะเปิดดนตรีบรรเลงคลอเบาๆ ช่วยเพิ่มพลังบวก พลังคิดสร้างสรรค์

อ่านหนังสือ หรือฟังเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจ การได้อ่านข้อคิดดี ๆ เรื่องราวสร้างแรงบันดาลก่อนเริ่มทำงานในวันใหม่ช่วยเติมพลังใจให้ฮึกเหิม สมองตื่น กระปรี้กระเปร่า พร้อมสนุกกับวันใหม่อย่างเต็มที่

วอร์มร่างกาย 10-15 นาที ก่อนอาบน้ำ เปิดเพลงแอโรบิคเบา ๆ ปลุกอวัยวะทุกส่วนให้ตื่นตัว กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เมื่อเหงื่อซึมความสดชื่นจะเข้ามาแทนที่

สูดลมหายใจเข้า-ออก หลังจากออกกำลังกายให้สงบนิ่งสูดลมหายใจเข้าทางจมูกให้ช้าและลึกที่สุด ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะค้างไว้ กลั้นหาย 10 วินาที แล้วค่อยผ่อนลมหายใจออกทางปากให้สุดพร้อมเคลื่อนแขนลงข้างลำตัว ทำแบบนี้ 10 รอบ เป็นการดึงออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงสมองสร้างความกระปรี้กระเปร่าได้มาก

อาบน้ำทำสมาธิ มีสติอยู่กับการอาบ ไม่ฟุ้งคิดเรื่องอื่น เปิดฝักบัวให้น้ำไหลรดตัวสักครู่ หลับตารับรู้ถึงความสดชื่นที่ตกกระทบร่างกาย ก่อนจะถูสบู่ สระผมต่อไป

เผื่อเวลาออกจากบ้าน ลดความเครียด หงุดหงิด และอุบัติเหตุด้วยการวางแผนการเดินทาง เผื่อเวลาให้ถึงที่ทำงานสัก 10-15 นาที

กอด หรือบอกรักคนในครอบครัว แสดงความรักด้วยการโอบกอดคนในครอบครัวก่อนออกไปทำงาน ความอบอุ่นที่ได้รับเป็นพลังมหัศจรรย์ให้เป็นวันแสนดี

การจัดการให้ตัวเองได้รับพลังยามเช้าด้วยเทคนิคข้างต้นเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เป้าหมายในแต่ละวันสำเร็จได้ด้วยความสุข หากสามารถปฏิบัติได้ทุกวันจนเป็นนิสัยจะนำสู่การมีสุขภาพกายใจที่ดี และเกิดประสิทธิภาพในการทำงาน

เชียร์บอลอย่างไร ไม่ให้เสียสุขภาพ

เชียร์บอลอย่างไร ไม่ให้เสียสุขภาพ

ใกล้เข้ามาแล้วสำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2022 ที่จะจัดขึ้น ณ ประเทศกาต้า ในช่วงเดือนธันวาคม 2022 นี้ แต่ก่อนที่จะไปเชียร์บอลโลกกลับมาตามติดผลงานของลีกหลักจาก 4 ประเทศ ได้แก่ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ, ลาลิกา สเปน, บุนเดสลีกา เยอรมัน และกัลโซ เซเรีย อา อิตาลี ที่กำลังขับเคี่ยวกันอย่างถึงพริกถึงขิง เท่านั้นยังไม่พอยังมีบอลยุโรปถ้วยใหญ่ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกให้ได้ติดตามกันอีก โดยไฮไลท์ของปีนี้เป็นการพบกันของ 4 ทีมดังจาก 2 ประเทศ ได้แก่ ลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ซิตี้จากประเทศอังกฤษ กับเรอัลมาดริดและบิยาร์เรอัลจากประเทศสเปน ทำให้ช่วงนี้แฟนบอลต้องคอยอดหลับอดนอนเพื่อเชียร์ทีมรักให้ได้ลุ้นแชมป์กัน แต่จะมีวิธีการอย่างไรที่จะช่วยให้เชียร์บอลกันอย่างเมามันและไม่เสียสุขภาพด้วยไปดูกัน

เช็กตารางเวลาของทีมที่ลงแข่ง – อันดับแรกเลยที่จะทำให้คุณสามารถวางแผนการดูบอลได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือการเช็กตารางเวลาของทีมที่ลงแข่ง เพราะหากไม่ทราบเวลาก็จะทำให้ไม่สามารถวางแผนการดูบอลได้ เนื่องจากเวลาของต่างประเทศจะไม่เหมือนกับประเทศไทย เช่น บางคู่ลงแข่งกันตอนตี 2 เป็นต้น

วางแผนการนอน – เมื่อรู้เวลาเป็นที่แน่ชัดแล้วหากบอลลงแข่งคู่ดึก เช่น เที่ยงคืน ตีสอง ตีสาม ทีมเชียร์ก็สามารถที่จะตั้งเวลาปลุกและเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำได้เพื่อตื่นขึ้นมาดูคู่ที่ต้องการ ซึ่งจะทำให้ไม่รู้สึกเพลียเวลาที่ต้องตื่นเช้าไปทำงานได้

วางแผนการกิน – นอกจากจะวางแผนการนอนและเวลาในการดูบอลแล้วจะต้องวางแผนการกินอีกด้วย โดยเฉพาะช่วงดึกหลายคนมักจะหิวในขณะเชียร์บอล ดังนั้นควรเลือกอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเพื่อกระตุ้นระบบประสาทและสมอง เช่น เครื่องดื่มรสมอลต์และโกโก้ ซุปไก่ ผลไม้หรือน้ำผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เป็นต้น ซึ่งในมื้อดึกควรงดอาหารหนัก เช่น โจ๊ก บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ของทอด เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวเมื่อกินเสร็จทุกคนก็จะต้องเข้านอน ทำให้อาหารไม่ย่อยและโรคอ้วนอาจถามหาได้

คนเป็นโรคหัวใจ ความดัน ควรงดการดูบอลสด – ทำไมคนที่เป็นโรคหัวใจและความดันควรงดดูบอลสดหรือลุ้นคะแนน ผลบอลสด เพราะการแข่งขันบางนัดที่มีผลต่อการชิงแชมป์ มักจะสร้างความตื่นเต้นจนบีบหัวใจของผู้ชมได้โดยเฉพาะการลุ้นทำประตู ยิ่งลุ้นมาก ยิ่งเครียด ความดันอาจขึ้นและเสี่ยงต่อการหัวใจวายหรือเส้นเลือดในสมองแตกได้

ไม่ไหวอย่าฝืน – หากดูบอลไปแล้วเกิดอาการง่วงมากจนทนไม่ไหวก็อย่าฝืน ควรปิดจอปิดไฟแล้วไปนอนพักผ่อน เพราะอย่าลืมว่าคุณสามารถที่จะชมเกมย้อนหลังหรือดูไฮไลท์ผ่านช่องทางสื่อโซเชียลออนไลน์ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องอดหลับอดนอนอีกต่อไป

สำหรับใครที่เป็นแฟนบอลก็อย่าลืมรักษาสุขภาพกันด้วย เพราะบางครั้งผลการแข่งขันอาจไม่เป็นใจ แต่ก็อย่าให้มันมาทำร้ายสุขภาพของคุณ เพราะอย่าลืมว่าตอนเช้าคุณต้องมาทำงานเช่นเดิม

 5  เทคนิคชนะความเครียด

 5  เทคนิคชนะความเครียด

ทุกคนล้วนเคยเผชิญอยู่ในสถานการณ์อันไม่พึงประสงค์ และสถานการณ์เหล่านั้นเป็นสาเหตุให้เกิดความเครียด มันเป็นภาวะอารมณ์ที่ไม่มีใครอยากสัมผัสมัน แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะหลีกหนีจากมันได้ และหากมันเกิดขึ้นแล้วเราควบคุม คลี่คลาย หรือกำจัดมันให้หมดไปได้ ความเสียหายที่จะเกิดกับอารมณ์และร่างกายของเราก็จะเกิดขึ้น และพร้อมจะส่งผลกระทบลุกลามไปยังคนรอบข้างได้โดยไม่ต้องสงสัย เมื่อเป็นดังนั้นการหาทางออกที่เหมาะสมที่จะพาเราฝ่าภาวะแห่งความเครียดไปได้ จึงเป็นโจทย์ที่ทุกคนต้องฝึกที่จะเรียนรู้และลงมือปฏิบัติอย่างมีวินัย

ความเครียดเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ ไม่มีเวลาเกิด และดับที่ชัดเจนเป็นภาวะที่ต้องอาศัยการควบคุมจากตัวเราเป็นหลัก เมื่อเราผจญกับความเครียดเราจะทำอย่างไร ลองมาดู 10 เทคนิคการเอาชนะความเครียด ที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าได้ผลจริง

  1. ออกกำลังกาย การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ช่วยขับของเสียผ่านเหงื่อ ช่วยกระตุ้นการทำงานของหัวใจซึ่งถือว่าเป็นวิธีการสลายความเครียดที่ได้ผลเป็นลำดับต้น ๆ ถ้าสามารถฝึกจนเป็นนิสัยมีวินัยปฏิบัติอย่างต่อเนื่องด้วยระยะเวลา และความถี่ที่เหมาะสมจะช่วยทำให้ร่างกายเรียนรู้ในการผ่อนคลายความเครียดได้โดยอัตโนมัติ กีฬาที่แนะนำควรเป็นกีฬาที่ทำให้ร่างกายได้ใช้พลังงานอย่างเต็มที่ และให้มีความท้าทายสักระดับหนึ่งเพื่อทำให้ร่างกายได้ลงมือทำในสิ่งที่คิดว่าไม่สามารถทำได้ เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ ถ้าเราสามารถก้าวผ่านกีฬาที่ท้าทายมาได้ หัวใจเราจะพองโต มีความมั่นคงทางใจมากขึ้น และรู้สึกถึงชัยชนะ (ตัวเอง) และเมื่อย้อนกลับมามองปัญหาที่เผชิญอยู่ก่อนหน้าอีกครั้งเราจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก
  2. อ่านหนังสือ เลือกหนังสือแนวที่ชอบที่สุดโดยยังไม่ต้องตั้งคำถามว่าจะได้สารประโยชน์อะไรจากมัน แล้วลงมืออ่านอย่างตั้งใจ หนังสือจะพาเราหลุดออกจากหลุมแห่งความเครียดด้วยการย้ายความสนใจจากเรื่องหนักๆ ที่เผชิญอยู่ในขณะนั้นไปอยู่ที่เนื้อหาของหนังสือ ระหว่างที่อ่านเราจะได้ความสนุก ได้ออกกำลังกายสมอง ได้สมาธิ ได้เรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ ได้สัมผัสอารมณ์แปลกใหม่ไปจากเดิม อาจจะเศร้า ลุ้นระทึก ตื่นเต้น หัวเราะสนุกสนาน หรือได้พลังอย่างประหลาด สิ่งเหล่านี้จะสร้างแรงบันดาลใจ ให้แง่คิดในมิติใหม่ๆ หลังจากที่เราปิดหนังสือลง
  3. ดูหนัง ฟังเพลง การดูหนังฟังเพลงช่วยให้เราย้ายจุดโฟกัสจากจุดเดิมที่เหนื่อยหนักหน่วง มาอยู่กับเรื่องราวที่เราจดจ่ออยู่ เรื่องราวในหนังถูกผูกร้อยให้ผู้ชมได้ติดตามอย่างใจจดใจจ่อ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะเป็นตัวช่วยดึงจิตเราให้ติดตรึงอยู่ ณ ความบันเทิงนั้นได้นานพอที่จะทำให้ใจเราได้มีเวลาพัก สมองได้มีช่วงเว้นวรรคได้ไตร่ตรองเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ความสุนทรีย์ในดนตรีและบทเพลง ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้อารมณ์ที่ปั่นป่วนเรียบเย็น และมั่นคงมากขึ้น หากเลือกหนังและเพลงได้เหมาะสมกับสภาวะที่เราเผชิญอยู่จะยิ่งช่วยสลายตัวเครียดได้เร็วขึ้น
  4. ทำกิจกรรมที่ชอบ ควรเป็นกิจกรรมที่ทำได้ทันที สามารถลงมือทำด้วยตัวเองได้ ไม่ต้องรอเวลา ไม่ต้องหาอุปกรณ์ เพื่อลดอุปสรรคในการเข้าถึงกิจกรรมนั้น ๆ เช่น การปลูกต้นไม้ ไปทำบุญไหว้พระ ทำอาหาร เป็นต้น
  5. เปลี่ยนบรรยากาศ หลีกหนีจากสิ่งแวดล้อมที่เคยชิน เช่น เปลี่ยนสถานที่นั่งทำงานภายในบ้าน จัดโต๊ะทำงานที่ออฟฟิศใหม่ หรือย้ายไปนั่งทำงานตามสถานบริการที่เป็น CO WORKING SPACE หรือจะลองปรับตารางเวลาทำกิจวัตรประจำวันเสียใหม่ เพื่อให้ได้สัมผัสความรู้สึกใหม่ๆ ดูบ้าง เป็นต้น

อย่าปล่อยความเครียดให้เกาะกุมใจ อย่าปล่อยกายให้ถูกทำลายไปด้วยความเครียด รู้ตัวให้เร็วแล้วนำ 5 เทคนิคนี้ไปทดลองปฏิบัติอย่างจริงจัง เราเชื่อว่าพลังชีวิตของทุกคนจะกลับคืนมา นำสู่การก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างมีคุณภาพ พร้อมสามารถสร้างสุขให้กับคนรอบข้างได้ไปพร้อมๆ กัน

น้ำผักผลไม้อะไรดีต่อสุขภาพบ้าง

น้ำผักผลไม้อะไรดีต่อสุขภาพบ้าง

คนไทยกับน้ำผักผลไม้เป็นของคู่กัน เนื่องจากเมืองไทยเป็นประเทศโซนร้อน ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว หากได้ดื่มน้ำผักผลไม้คั้นสดหรือใส่น้ำแข็ง ก็จะยิ่งเพิ่มความสดชื่น บรรเทากระหายได้ เรามาดูกันว่าน้ำผักผลไม้ที่ดื่มและทำให้มีสุขภาพดี จะมีอะไรบ้าง

1.น้ำมะนาว
น้ำมะนาวเหมาะกับคนที่ชอบรสเปรี้ยว เติมเกลือและน้ำผึ้งเพียงเล็กน้อย จะช่วยปรับรสชาติให้ดีขึ้น มีสรรพคุณสำคัญคือ ช่วยให้การย่อยอาหารดีขึ้น ลดอาการแน่นท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ ได้ นอกจากนี้ ในน้ำมะนาวยังมีวิตามินซีอยู่ในปริมาณสูง จึงช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว เสริมภูมิต้านทานร่างกายให้แข็งแรงและลดความถี่ในการเป็นโรคหวัดได้ด้วย

2.น้ำมะเขือเทศ
ในน้ำมะเขือเทศมีสารไลโคปีนที่ช่วยในการบำรุงสายตาและผิวพรรณ ทั้งยังมีการวิจัยพบว่า สามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้ สารต้านอนุมูลอิสระสูงในน้ำมะเขือเทศดีต่อผู้ที่มีปัญหาสิว ริ้วรอย ช่วยลดความหมองคล้ำของใบหน้าได้ จึงเหมาะกับทั้งผู้ชายและผู้หญิง

3.น้ำขิง
น้ำขิงเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรคู่ใจของหญิงตั้งครรภ์ เพราะช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียน แพ้ท้องได้เป็นอย่างดี น้ำขิงเหมาะกับการดื่มในช่วงอากาศหน้าหนาวเพราะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญของร่างกาย เพิ่มการไหลเวียนของเลือดได้ การดื่มหลังอาหารจะช่วยขับไล่ลมและกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายดียิ่งขึ้น

4.น้ำแอปเปิล
มีคำกล่าวที่ว่าการรับประทานแอปเปิลวันละ 1 ผล จะช่วยให้ช่วยให้สุขภาพแข็งแรงดี ไม่ต้องพบแพทย์ นั่นเพราะในเนื้อแอปเปิ้ลมีสารสำคัญที่กระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวได้ เช่น วิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระอีกหลายชนิด และยังมีสารเพคตินและไฟเบอร์ในปริมาณสูง ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ให้ขับถ่ายได้ดีและยังทำให้อิ่มได้ยาวนานตลอดวัน การดื่มน้ำแอปเปิลเป็นประจำในช่วงเวลาเช้า จึงช่วยให้ระบบร่างกายทำงานดี มีสุขภาพแข็งแรงในระยะยาว

5.น้ำสตรอว์เบอรี
น้ำสตรอว์เบอรีปั่น ถือว่าเป็นของโปรดของใครหลายคน ด้วยความหอมหวานอมเปรี้ยวของสตรอว์เบอรีสด ซึ่งปัจจุบันมีจำหน่ายในราคาถูกตลอดทั้งปี ในสตรอว์เบอรีมีสารกลุ่มวิตามินซีสูง และวิตามินแร่ธาตุอีกหลายชนิดที่มีสรรพคุณบำรุงผิวพรรณ จึงเป็นเครื่องดื่มที่ขาดไม่ได้สำหรับสาว ๆ ที่รักความสวยความงาม

การดื่มน้ำผักผลไม้เป็นประจำ สามารถทำให้ร่างกายสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงได้ ทั้งนี้ ควรดื่มแบบคั้นสดเพื่อให้มั่นใจว่าได้รับวิตามินที่ไม่สูญสลายไป และไม่ควรเติมน้ำตาลเพราะจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานและทำให้เกิดปัญหาน้ำหนักเกินได้

วิธีดูแลสุขภาพ ป้องกันปัญหาโรคที่มากับฤดูฝน

วิธีดูแลสุขภาพ ป้องกันปัญหาโรคที่มากับฤดูฝน

ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากฤดูร้อนสู่ฤดูฝน ทำให้มีโรคที่มากับสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง รวมถึงเกิดจากพาหะนำโรคหลายชนิดที่เติบโตได้ดีในช่วงเวลานี้ด้วย ดูหน่อยกับข้อมูลทางการแพทย์แนะนำให้ดูแลสุขภาพเพื่อการป้องกันโรคที่มากับฤดูฝนอย่างไรบ้าง

การรับประทานอาหารปรุงสุกใหม่

การต้ม นึ่ง ทอด อบ เป็นเทคนิคทำอาหารสุกด้วยกระบวนการความร้อน ที่ต้องใส่ใจอย่างมากในฤดูฝน เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการปนเปื้อนของแบคทีเรียที่อาจก่อโรคได้ ทั้งนี้ รวมถึงการทำความสะอาดอุปกรณ์ เช่น ช้อนส้อม จานชาม แก้วน้ำ ให้สะอาดทุกครั้ง ก่อนใส่อาหารและเครื่องดื่ม

อย่าลืมว่าในฤดูฝนมีปริมาณของแมลงวันที่เป็นพาหะนำโรคมากกว่าปกติ จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อภายในระบบทางเดินอาหาร จนเกิดภาวะอาหารเป็นพิษ ท้องเสีย ถ่ายเหลว ปวดบิด เป็นไข้ หากมีอาการมาก จะทำให้คลื่นไส้อาเจียน หรือทำให้มีอาการช็อกเป็นอันตรายร้ายแรงได้

ไม่เดินเหยียบย่ำบริเวณที่มีน้ำขัง

ปัญหาที่มากับน้ำขังในฤดูฝน นอกจากเป็นโรคผิวหนังอักเสบ อย่างฮ่องกงฟุต กลากเกลื้อน ที่ต้องใช้ยาทาและยารับประทานรักษาแล้ว ยังรวมไปถึงโรคฉี่หนูหรือโรคเลปโตสไปโรซีสที่มากับน้ำท่วมขังที่มีฉี่ของหนูปะปนอยู่ เช่น ย่านตลาดสด ถนนสาธารณะ ซึ่งจะทำให้มีอาการเป็นไข้สูง ปวดศีรษะปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบริเวณช่วงขาและน่อง หากมีอาการรุนแรงอาจจะถึงภาวะไตวายและเสียชีวิตได้ด้วย

สวมใส่หน้ากากและหลีกเลี่ยงที่ที่มีคนจำนวนมาก

การใส่หน้ากากและเลี่ยงการอยู่ในที่ผู้คนแออัด จะป้องกันการติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นโรคที่พบบ่อยในฤดูฝนอย่างโรคหวัด คออักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดติดเชื้อ ฯลฯ ได้ ซึ่งปัจจุบันยังมีเรื่องของภาวะไวรัสโควิด-19 ระบาด ที่อาจจะทำให้คุณเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยขั้นร้ายแรงจนเสียชีวิตได้ หลักการที่ดีคือ ยึดแนวทางตามเทคนิค Social Distance, ล้างมือบ่อย ๆ และสวมหน้ากาก เพื่อการป้องกันตัวเองและลดการกระจายเชื้อสู่ผู้อื่นได้อีกด้วย

ไม่อยู่ในพื้นที่มีความเสี่ยงน้ำขังสกปรกหรือตามที่มีหญ้ารกสูง

ในพื้นที่มีน้ำขังหรือที่มีหญ้าขึ้นรกสูง จะเป็นจุดเสี่ยงต่อโรคที่มียุงเป็นพาหะ เช่น โรคไข้เลือดออก โรคไข้สมองอักเสบ Japanese encephalitis โรคมาลาเรีย ฯลฯ จะทำให้มีอาการไข้ ปวดศีรษะ อาเจียน และยังมีอาการเฉพาะทางอีกหลายอย่าง หากปล่อยไว้อาจจะทำให้เกิดภาวะอวัยวะภายในล้มเหลวกระทั่งเสียชีวิตได้ สิ่งที่ควรทำ คือ ต้องร่วมมือกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง และหลีกเลี่ยงการเข้าสู่พื้นที่เสี่ยง

เหตุผลที่ควรฝึกสติเพื่อบำบัดโรคหรือปรับร่างกายเข้าสู่ภาวะสมดุล

เหตุผลที่ควรฝึกสติเพื่อบำบัดโรคหรือปรับร่างกายเข้าสู่ภาวะสมดุล

การฝึกสติ คือ การทำอะไรแล้วรู้ตัวหรือไม่ฟุ้งซ่านเตลิดไป หากเปรียบเทียบกับการทำสมาธิ สติเสมือนการจับตะปูมาจ่อ ส่วนสมาธิเสมือนกับตอกตะปูให้ลึกเข้าไป หมายความว่า เป็นกระบวนการย้อนอดีตว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นย้อนกลับมาปัจจุบันเพื่อที่จะตรวจว่าความรู้สึกและสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง เช่น เจ็บ ปวด หิว เป็นต้น ซึ่งคนที่ฝึกสติมาก ๆ จะรู้ตัวตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ เราจึงมาบอกเหตุผลพร้อมวิธีการฝึกสติบำบัดโรคให้คุณได้รับรู้ ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์กับผู้ฝึกแน่นอน

เปลี่ยนโครงสร้างการทำงานของสมอง

การฝึกสติบำบัดโรคได้รับการศึกษาวิจัยพบว่า สามารถปรับคลื่นสมองให้เป็นปกติได้ นอกจากนี้ยังรักษาโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวลและโรคบาดแผลทางใจที่รับผลกระทบจนถึงปัจจุบัน และเมื่อมีการใช้ยาควบคู่กับสติบำบัด ก็สามารถที่จะรักษาอาการและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำได้สูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงแนวโน้มในระยะยาว จะทำให้สามารถหยุดยาต่าง ๆ ได้อีกด้วย

นอกจากนี้ การฝึกสติ ไม่ว่าจะเป็นแบบเถรวาท ทิเบต ญี่ปุ่น หรือแบบต่าง ๆ ส่งผลให้เรียนดี จนทำให้รอบมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดมีศูนย์สอนการฝึกสติหลายสิบแห่งล้อมรอบ ทำให้อาจารย์และนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ที่เก่งอยู่แล้ว ก็ชอบมาฝึกมาก โดยที่ผู้สอนฝึกไม่ใช่มีแต่ทางตะวันออกเท่านั้นเพราะมีชาวอเมริกาไปฝึกแล้วมาสอนต่อนั่นเอง

รักษาโรคทางกาย

วงการแพทย์ได้พิสูจน์ว่าการฝึกสติช่วยรักษาได้สารพัดโรค เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ เป็นต้น หากได้ฝึกสติก็จะทำให้ระดับน้ำตาลและความดันโลหิตลดลง ชีพจรเป็นจังหวะมากขึ้น ระบบฮอร์โมนหลั่งอย่างพอดี บำบัดอาการนอนไม่หลับโดยไม่ต้องพึ่งยา นอกจากนี้ การฝึกสติยังเหมาะสมกับคนที่ดูแลผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีการฝึกสติเพื่อบำบัดโรคหรือปรับร่างกายเข้าสู่ภาวะสมดุล

ฝึกสติด้วยการหายใจ (breathing) เริ่มต้นด้วยการหายใจเข้าช้า ๆ ขณะที่กำลังหายใจเข้าให้รู้ตัว จากนั้นให้หายใจออกอย่างผ่อนคลาย บางคนอาจจะฝึกสติด้วยการหายใจจากการนั่งสมาธิ (breathing meditation) วันละ 50 นาที นอกจากนี้หากได้นั่งสมาธินาน ๆ แบบไม่ยอมเปลี่ยนท่ายังเป็นการฝึกรับรู้ความเจ็บปวดโดยการเอาจิตไปเพ่งที่ความเจ็บปวดจนกระทั่งความทุรนทุรายหายไป ถือว่าสามารถแยกกายกับใจได้ดี

การดูท่าทางของตัวเอง (posture) ในปัจจุบัน เช่น ตอนนี้กำลังนั่ง กำลังยืน กำลังเดิน กำลังนอน รวมถึงการรับรู้จากตาว่าได้เห็นอะไร หู ได้ยินอะไร จมูก ได้กลิ่นอะไร ลิ้น ได้รับรู้รสอะไร ผิวหนัง สัมผัสอะไร และใจ รู้สึกอะไร โดยไม่มีความคิดปรุงแต่ง ซึ่งเป็นการมีแค่สติเท่านั้น

เคลื่อนไหว (mindful movement) ด้วยการหายใจเข้าออกอย่างช้า ๆ อย่างมีสติพร้อมกับการเคลื่อนไหวร่างกาย อาจจะทำโยคะ ไทเก็ก หรือ ชี่กง ก็ได้ กรณีที่มีการฝึกเก่งแล้ว สามารถไปต่อยอดการเคลื่อนไหวอย่างอื่น เช่น การเดิน การวิ่ง ว่ายน้ำ เป็นต้น

การแผ่เมตตา (Sharing Loving Kindness) คือ การฝึกสติอย่างหนึ่งที่แผ่ไปยังผู้อื่นเพื่อให้เขาได้รับความสุขเช่นเดียวกับคนที่ฝึกสติด้วยการแผ่เมตตา

เหตุผลการฝึกสติบำบัดโรคที่เราได้กล่าวไว้ข้างต้น ทำให้กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุขของไทยได้ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง และมีการพัฒนาเป็นหลักสูตรเพื่อให้คนได้มาอบรมที่มีเกณฑ์วัดผลและรับใบรับรองประกาศนียบัตร จะได้ทำหน้าที่ไปฝึกสติบำบัดต่อ ปรากฏว่าคนที่มาอบรมไม่ใช่มีเฉพาะคนไทยเท่านั้น เนื่องจากมีชาวไต้หวัน ศรีลังกา พม่า แคนาดา ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ประเทศต่าง ๆ ในยุโรป อเมริกา และ ญี่ปุ่น

ดังนั้น ควรฝึกสติอยู่เสมอ เพื่อให้ร่างกายเกิดภาวะสมดุลทั้งร่างกายและจิตใจ ส่งผลดีทุกด้าน จะทำการงานหรือเรียนหนังสือ ขับรถยนต์หรือเล่นกีฬา และกิจวัตรอื่น ๆ ล้วนได้ประโยชน์อย่างมาก

นวัตกรรมตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ผู้ป่วยเบาหวานเลิกเจาะปลายนิ้วทุกวัน

ทราบกันดีว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องตรวจระดับน้ำตาลในเลือดทุกวัน โดยเจาะปลายนิ้วหยดเลือดลงบนแถบทดสอบของเครื่องตรวจน้ำตาลและอ่านค่าด้วยตนเองที่บ้าน ผู้ป่วยหลายคนคงโล่งใจที่ในอนาคตอันใกล้จะมีทางออกสำหรับคนกลัวเจ็บ นั่นคือนวัตกรรมเครื่องตรวจคลื่นหัวใจชนิดสวมใส่ได้ อาจมาแทนที่การทดสอบเลือดจากปลายนิ้วมือ เพื่อติดตามระดับน้ำตาลในเลือด โดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ช่วยให้ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดได้แบบไม่ต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัวอีกต่อไป

ทำไมถึงต้องต้องเจาะเลือดที่ปลายนิ้ว

เหตุผลของการเจาะเลือดปลายนิ้วตรวจเลือดหาระดับน้ำตาลที่ปลายนิ้วเพื่อหาแนวโน้มที่ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงเกินควร ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีความเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะผู้เป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ เมื่อรู้สภาวะร่างกายของตัวเองจะง่ายในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมช่วยควบคุมเบาหวานให้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นการเจาะหลอดเลือดแดงฝอย แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับหลายคนที่กลัวเข็ม บางคนนิ้วระบมไปหมด แต่ก็ยังต้องตรวจเลือดเป็นประจำเพื่อสามารถดูแลตัวเองให้ดี

ไม่นานมานี้ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอร์วิกในอังกฤษได้พัฒนาระบบเซนเซอร์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ที่ตรวจจับระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อเตือนสัญญาณอันตรายจากภาวะน้ำตาลต่ำ เพิ่มความมั่นใจให้ผู้ป่วยและมีแรงจูงใจที่จะดูแลตัวเองให้ดีขึ้น เทคโนโลยีใหม่ไม่ต้องเจาะเลือดปลายนิ้ว แต่ดูจากเครื่องวัดการเต้นของหัวใจของผู้ป่วยแทน วิธีการคือใช้ข้อมูลคลื่นไฟฟ้าหัวใจของผู้ป่วยเป็นต้นแบบให้ระบบคอมพิวเตอร์จดจำและอ่านค่าน้ำตาลปกติของผู้ป่วย เพื่อดูแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาล สามารถประเมินอาการที่บ่งบอกว่ามีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงในขณะนั้น

ทั้งนี้ การตรวจเลือดวันละ 2 ครั้งมีความสำคัญมาก จะช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ดีและป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานเกิดภาวะฉุกเฉินที่มีอาการใจสั่น ชัก และโคม่า เสี่ยงอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

ขณะนี้การทดสอบระบบเซนเซอร์ตรวจจับคลื่นไฟฟ้าหัวใจเพื่อวัดระดับน้ำตาลในเลือดโดยอัตโนมัติใช้ได้ผลในเบื้องต้น เทคโนโลยีมีความน่าเชื่อถือถึง 82% แต่ยังต้องมีการศึกษาวิจัยและทดสอบประสิทธิผลก่อนจะนำมาใช้จริง นวัตกรรมเครื่องตรวจระดับน้ำตาลใช้แทนที่เข็มเจาะเลือดปลายนิ้วจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยวัยเด็ก ถึงจะอายุน้อยก็ป่วยเป็นโรคเบาหวานได้

การรักษาเบาหวานชนิดที่ 1 จำเป็นต้องเจาะเลือดปลายนิ้ววันละ 2-4 ครั้ง ร่วมกับการฉีดฮอร์โมนอินซูลินวันละ 3-4 ครั้ง ส่วนเบาหวานชนิดที่ 2 โชคดีกว่าเพราะแค่รับประทานยากระตุ้นการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน หากไม่ได้รับการรักษาอาจส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลีย ขาดสารอาหาร ไตเสื่อม จอประสาทตาเสื่อม หรืออาการรุนแรงที่อาจเกิดอันตรายขึ้นได้

นวัตกรรมเทคโนโลยีเซนเซอร์คลื่นหัวใจจึงเป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ทีมนักวิทยาศาสตร์กำลังพัฒนาปัญญาประดิษฐ์เพื่อที่จะปรับให้ใช้งานได้ทุกสถานการณ์ แม้กระทั่งตอนนอนหลับ ไม่ต้องเจ็บปวดกับการเจาะเลือดปลายนิ้วมืออีกต่อไป

นวัตกรรมตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ผู้ป่วยเบาหวานเลิกเจาะปลายนิ้วทุกวัน

เทคนิคลดหน้าท้องที่ใคร ๆ ก็ทำได้

เทคนิคลดหน้าท้องที่ใคร ๆ ก็ทำได้

ปัญหาหน้าท้องมีส่วนเกินหรือมีพุง เป็นสิ่งที่รบกวนความมั่นใจ โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่ต้องการใส่ชุดโชว์รูปร่าง หากมีส่วนเกินหรือพุงยื่น ก็ต้องหาวิธีแก้ไขแบบถูกวิธีและปลอดภัย ดังที่เรารวบรวมมาดังนี้

ลดพุงได้ง่ายๆ ตามเทคนิค ดังนี้

1. งดกินของทอด

ของที่ทอดร้อน ๆ เช่น ลูกชิ้นทอด ไก่ทอด หนังหมู หนังปลาทอดกรอบ เรียกว่าเป็นของที่กระตุ้นน้ำลายและทำให้เพลินกับการรับประทานง่าย ๆ จนทำให้หน้าท้องยื่นได้ในเวลาไม่กี่สัปดาห์ แนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงเมนูเหล่านี้ และหันไปรับประทานอาหารที่ทำจากการนึ่งต้มและไม่มีส่วนของไขมันสัตว์ เช่น หนังหมู หนังไก่ เป็นต้น จะลดปริมาณพลังงานและไขมันสะสมในร่างกายคุณได้แน่นอน

2. งดเครื่องดื่มหวานจัด

ปัจจุบันร้านค้ามากมายขายเครื่องดื่มหวานที่รสชาติอร่อยและกลิ่นหอมน่าดึงดูดใจ ซึ่งคนรุ่นใหม่จำนวนมากมีอาการติดเครื่องดื่มหวาน เช่น ชานมไข่มุก กาแฟปรุงสำเร็จ น้ำผลไม้ผสมน้ำเชื่อมปั่น ฯลฯ ซึ่งทางการแพทย์พบว่าทำให้เพิ่มไขมันที่หน้าท้อง และในระบบเส้นเลือดด้วย และยังส่งผลให้เป็นโรคเบาหวานตั้งแต่อายุน้อยได้ ดังนั้น ต้องปรับพฤติกรรมการรับประทาน คือ เปลี่ยนเป็นเครื่องดื่มที่หวานน้อย หรือดื่มน้ำเปล่าจะดีที่สุด

3. งดน้ำอัดลมและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

เครื่องดื่มกลุ่มนี้มีปริมาณน้ำตาลและเกลือแร่หลายชนิดที่ส่งผลเสียต่อสมดุลร่างกาย ทำให้น้ำหนักของคุณเพิ่มได้ 2-3 กิโลกรัมในไม่กี่เดือนหากดื่มต่อเนื่องเป็นประจำ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าผู้ที่ต้องการลดพุง ต้องหยุดการบริโภคเครื่องดื่มเหล่านี้ และหันไปดื่มชาเพื่อสุขภาพเพื่อการกำจัดของเสียออกจากร่างกาย และช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพด้วย

4. เพิ่มไฟเบอร์

การรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ขนมปังโฮลวีต ข้าวไม่ขัดสี ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ หรือผักผลไม้ที่มีกากใยมาก เช่น ส้ม แอปเปิล เผือกมัน ข้าวโพด สัปปะรด ฯลฯ จะช่วยในการควบคุมอาการหิวระหว่างมื้อได้ดีขึ้น จะช่วยลดพฤติกรรมกินอาหารจุกจิก ทั้งนี้ หากรับประทานช่วงท้องว่างก่อนการรับประทานอาหารมื้อหลัก จะทำให้อิ่มเร็วขึ้นและทำให้ร่างกายได้รับวิตามินจากผักผลไม้ดีขึ้นด้วย

5. การออกกำลังกาย

การออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ระบบเผาผลาญร่างกายดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ไขมันสะสมทั้งตามแขนขาหน้าท้องลดลงได้พร้อม ๆ กัน และหากทำท่าซิตอัพวันละ 20 นาที ก็จะช่วยให้เห็นผลดีขึ้น

ทุกเทคนิคที่กล่าวมา หากทำเป็นประจำจะทำให้คุณปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้อย่างถาวร ซึ่งนอกจากทำให้หน้าท้องส่วนเกินหายไปแล้ว ยังทำให้บุคลิกของคุณดีขึ้น มีความมั่นใจ และทำให้สุขภาพโดยรวมแข็งแรงขึ้นด้วย เราหวังว่าทุกท่านจะได้รับแนวทางที่ดี เพื่อนำไปปรับใช้ลดพุงกันต่อไป

ลดพุงได้ง่ายๆ ตามเทคนิค

น้ำตาล ภัยร้ายที่มาพร้อมกับความหวาน

น้ำตาล ภัยร้ายที่มาพร้อมกับความหวาน

ในชีวิตประจำวันของคนเรา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเราบริโภคน้ำตาลแทบทุกวันเพื่อใช้กับพลังงานในร่างกาย น้ำตาลอยู่ในส่วนผสมของสิ่งที่เรารับประทานเข้าไปไม่ว่าจะเป็นอาหาร ของหวานล้วนมีน้ำตาลเป็นส่วนผสมด้วยกันทั้งนั้น โดยที่ไม่รู้เลยว่าน้ำตาลที่เราได้รับในแต่ละวันนั้นเพียงพอหรือเกินความจำเป็นต่อร่างกายหรือไม่

ในพฤติกรรมของคนที่หันมาบริโภคเครื่องดื่มเพื่อชูกำลังหรือตามไลฟ์สไตล์ของความนิยมที่มากขึ้นคนวัยทำงาน ซึ่งเมนูที่บริโภคมากที่สุดได้แก่ น้ำอัดลม ชานมไข่มุก กาแฟ ที่พ่วงมาด้วยของหวานเพื่อความเพลิดเพลิดได้อรรถรสในการรับประทาน โดยหารู้ไม่ว่านั่นคือที่มาของโรคต่าง ๆ และส่งผลต่อร่างกายได้ในอนาคต สิ่งที่เราควรรู้ก็คือการรับประทานรสชาติหวานที่พอเหมาะต่อความจำเป็นของร่างกาย

ประเภทของน้ำตาล

น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ได้แก่ กลูโคส ฟรุกโตส และกาแลกโตส

น้ำตาลโมเลกุลคู่ ได้แก่ มอลโตส ซูโครส (น้ำตาลทราย) และน้ำตาลแลคโตส

ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับร่างกายควรได้รับ

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนเรามีน้ำหนักเพิ่มขึ้น เกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจขาดเลือดที่ตามมา เกิดจากการบริโภคน้ำตาลมากเกินความจำเป็นที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน ปริมาณที่คนเราควรได้รับต่อวันอยู่ที่ 6 ช้อนชาต่อวัน หรือ ปริมาณ 24 กรัม ต่อวัน

สารอาหารหลักที่ทำให้เกิดระดับน้ำตาลในเลือด

สารอาหารที่ทำให้เกิดน้ำตาลในเลือดสูงมาจากการที่คนเราบริโภคอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตปริมาณมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ คาร์โบไฮเดรตมาจาก ข้าว ผักบางชนิด ผลไม้ ธัญพืช เป็นต้น

หากรับประทานเกินความจำเป็นจะส่งผลต่อร่างกายอย่างไร

น้ำหนักเพิ่มขึ้นทำให้สูญเสียบุคลิกภาพที่ดี เมื่อรับประทานน้ำตาลมากเกินไปก็จะทำให้เกิดความหิวอย่างอื่นตามมา อาจทำให้ร่างกายเสพติดความหวานซึ่งเกินความจำเป็นทำให้อ้วนได้ง่าย เมื่อมีไขมันสะสมในร่างกายตามหน้าท้องมาก ก็จะส่งผลให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้ตับอ่อนต้องทำงานมากขึ้นในการผลิตอินซูลินออกมามากกว่าที่ควร เมื่อนานวันเข้าจะไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอ ก็จะเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เกิดเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้

ทำให้ใบหน้าแก่ก่อนวัย เมื่อร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินไปทำให้คอลลาเจนในร่างกายถูกทำลาย ก่อเกิดมาจากปฏิกิริยาของร่างกายทำให้ใบหน้าเกิดริ้วรอยที่เป็นที่มาของใบหน้าที่แก่เกินวัย

ทำให้เซลล์ในร่างกายเสื่อมสภาพได้ โครงสร้างส่วนปลายสุดของโครโมโซมมีส่วนที่เรียกว่าเทโลเมียร์ เมื่อรับประทานรสชาติหวานมากเกินไป ส่วนของโคโมโซมจะหดสั้นลงทำให้เซลล์ในร่างกายเสื่อมสภาพลงเร็วกว่าปกติหากรับประทานรสหวานมากเกินไป

ในการรับประทานน้ำตาล เครื่องดื่มหรืออาหารที่มีรสชาติหวาน ควรที่จะดูปริมาณของน้ำตาลเพื่อรับประทานให้เหมาะสมโดยไม่มากจนเกินไปเพราะจะส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมารวมถึงทำให้แก่ก่อนวัยและน้ำหนักที่มากขึ้นกลายเป็นโรคอ้วนและโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้

สารอาหารหลักที่ทำให้เกิดระดับน้ำตาลในเลือด

เทคนิคการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ

เทคนิคการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ

ในยุคปัจจุบันที่มีสื่อมากมาย โลกมีนวัตกรรมที่กำเนิดมาเพื่อตอบสนองความสะดวกสบายของมนุษย์ ส่งผลให้มนุษย์เราเสพติดความสะดวกสบาย ทำให้หลงลืมการพักผ่อน ทำให้เกิดภาวะ “หลับยาก” ขึ้นในทุกที

เมื่อประกอบกับการทำงานที่ทำให้เกิดความเครียด ความวิตกกังวล และหลายคนก็นำเรื่องเหล่านั้นกลับมาที่บ้านด้วย ก็ยิ่งทำให้นอนหลับยากมากยิ่งขึ้น บางรายถึงขั้นต้องพึ่งยานอนหลับกันเลยทีเดียว

4 เทคนิค ทำให้นอนหลับได้อย่างมีคุณภาพ

ฟังเพลงสบาย ๆ ก่อนนอน

เราคงเคยได้ยินคำว่า “ดนตรีบำบัด” ดังนั้นแล้ว วิธีง่าย ๆ หากเรามีภาวะนอนไม่หลับ มีเรื่องต้องคิดกังวลก่อนนอน ให้เปิดเพลงบรรเลงเบา ๆ หรือธรรมมะบรรยาย ฟังก่อนนอน ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็สามารถหาฟังได้ง่าย ๆ จากช่องทางต่าง ๆ อาทิเช่น ยูทูป หรือ แอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่มีมารองรับ ทั้งนี้ เพลงเบา ๆ จะช่วยให้คลื่นสมองของเราสามารถปรับเข้าสู่ความสงบ และช่วยให้เราลืมเรื่องที่กังวลและสามารถนอนหลับได้

เขียนไดอารี่ หรืออ่านหนังสือเบาสมอง

เนื่องจากในแต่ละวัน คนเราต้องเจอเรื่องราวมากมาย ที่อาจจะมีทั้งเรื่องที่ดีและเรื่องที่เราไม่พอใจ ดังนั้นการเขียนไดอารี่ จะช่วยให้เราสามารถระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกมาได้ แล้วทำให้เราได้ผ่อนคลาย หรือหากคุณเป็นคนที่ไม่ชอบการเขียนก็อาจจะหาหนังสือเบาสมองสักเล่มมาไว้ข้างหมอน ว่ากันว่าหนังสือคือยานอนหลับชั้นดี การอ่านหนังสือดีดีสักเล่ม ก็อาจจะช่วยให้เราสามารถนอนหลับได้ง่ายและสนิทมากขึ้นด้วย

ไม่ทานอาหารหนัก หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน

คนเราไม่ควรทานอาหารมื้อหนักหลังช่วงเวลา 18.00น. เพราะหลังรับประทานอาหารร่างกายต้องใช้เวลาในการย่อย 2-3ชั่วโมง หากเราทานอาหารดึกเกินไป จะทำให้ร่างกายทำงานหนักก่อนนอน และอาจส่งผลให้เป็นสาเหตุของโรคกรดไหลย้อนตามมาอีกด้วย นอกจากอาหารแล้ว การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนก็มีผลต่อการนอนหลับเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ชา กาแฟ เครื่องดื่มสำเร็จรูปบางชนิด สารเหล่านี้จะส่งผลต่อร่างกายนานถึง 4-6ชั่วโมง ดังนั้น หลังจาก 16.00 ไปแล้ว เราไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เพราะจะทำให้หลับยากขึ้นนั่นเอง

4 เทคนิค ทำให้นอนหลับได้อย่างมีคุณภาพ

ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายเบา ๆ ในช่วงเย็น จะช่วยให้เรานอนหลับได้ง่ายและหลับลึกขึ้น เพราะว่าร่างกายได้ใช้พลังงานกับการออกกำลัง ทำให้หลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข และไปกระตุ้นต่อมใต้สมองให้ร่างกายต้องการจะพักผ่อนมากยิ่งขึ้น แต่มีข้อควรระวังคือ ไม่ควรออกกำลังกายหนักจนเกินไป และห่างจากเวลาที่จะเข้านอนอย่างน้อย 2 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้นอนหลับยากกว่าเดิม

การนอนหลับที่เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายมีความสมดุล และตื่นมาพร้อมกับความสดชื่น สดใส และหากเรานอนไม่หลับจริง ๆ การมีตัวช่วยเช่น ชาคาโมมายล์อุ่น ๆ นมร้อน ๆ หรือเทียนหอม ที่ช่วยให้บรรยากาศในห้องนอนอบอวลไปด้วยกลิ่นที่ช่วยในการนอนหลับ หรือหากนอนหลับยากหรือนอนไม่หลับติดต่อกัน ก็ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้อง